กล่องของแม่

         แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย 
‘หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน’
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้น จากมือแม่ แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง
ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง
 
         วันสุดท้ายแล้ว ที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่
ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
 
        สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ
ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน
มาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง
ทฤษฎีของการแยกประเภท แยกโลกออกจากกันให้ชัดเจน
เพื่อลดความชัดแย้ง ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้
 
       ‘ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ’  แม่ตอบง่ายๆ
 หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสองนาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงแหน
‘จะอยู่จะกินยังไรต่อไป’
‘แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว’ ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ปกติ
เพื่อรอวัน ‘ย้ายบ้าน’

             
 
       แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกัน
และไม่ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นที่เคยเป็นมา
 
พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุกถล่มฉันอยู่หลายวัน
‘แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักใสแกไปอย่างนี้’ นี่พี่สาวคนโต
‘คนแก่ก็อย่างงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันหนักหนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกัน
แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า’ นี่ก็พี่เขยจอมตืด
 
‘แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกัน ว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ’
‘แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งสิ ลูกผัวก็ไม่มี แม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้’
 
เออ….เอาเข้าไป พวกดีแต่พูด พูดกันดีนัก
แต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน นอกจากฉัน
ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ ก็เพราะแม่นั่นแหละ
วันๆ เวลาที่เหลือจากการทำงาน ต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมดแล้ว
จะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแลแม่ให้
 
         พวกปากดีที่ว่า ที่ตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ
วันหยุดยาวทีไร ต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง
‘โอ๊ย ไม่ได้หรอก ฉันจองโรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไปคราวหน้าแล้วกัน เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก’
อ้วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้น
ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบ
และของบ้าๆ บอๆ อีกเป็นพะเรอ แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กิน
เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ !
 
แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อน
ไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ
ไม่มีงานวันเกิดเพื่อน หรืองานสนุกอะไรทั้งนั้น
สรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟนล่ะ
 
         เลยกลายเป็นลูกเหลือขอ อยู่คนเดียวในบ้านนี้แหละ
ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมาขอ ไปหมดแล้ว
ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน
ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น ‘ลูกเหลือขอ’ ได้ดีเท่าฉัน
ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่า พี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อม
และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่นๆ
 
เพียงแต่ แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน
เลยได้มีโอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้ว
ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบ
ตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่บ่น และคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง
ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละวัน
และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่างๆ
 
       ก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้ง
แม่จำเพาะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้าเอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้ง
หรือมีนัดทุกทีซิน่า
‘แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน’
 
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย
‘วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้’
หรือไม่ก็  ‘วันนี้วันพระใหญ่ปีหนึ่งมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ไง’
โอ๊ย จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก
 
        นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำ คือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยา
ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษ ก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกันไป
คือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย วันดีคืนดีก็หกล้มหกลุก
ให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์เสียได้ไง


 
ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน
หรือมีอันต้องมีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด
จนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด
นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่นายดีและเข้าใจ)
ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง
หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆ หรอก จนกว่าแม่จะตาย
แล้วเมื่อไรละแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ ใครจะรู้
 
     แม่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง
พอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติดเป็นแพเต็มถนน ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งแต่เช้าก็สำแดงอาการทันที
กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท
 
มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด
‘แม่หนาวมั้ย จะได้หรี่แอร์’ แต่แม่สั่นหน้า   ตั้งแต่ออกจากบ้าน แม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
‘แม่เอาของมาน้อยจัง’
ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูด ไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า
กับประโยคนี้ของฉัน แม่เริ่มพูดขึ้นมาได้
‘ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไม มันไม่จำเป็น เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอ เอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี’
 
        ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็อย่างงี้แหละ กลัวของหาย กลัวคนมาขโมยของของตัว บางทีโวยวายแทบตาย
ปรากฏว่า ของที่ว่าหายนั้น อยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ
 
      รถบนถนนขยับได้ทีละนิด สลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆ
ฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่
มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ตามกาลเวลา
กล่องแบบนี้ เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว
และผงซักฟอกยี่ห้อนั้น ก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้ว
ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่อง ยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว
ลังผงซักฟอกของแม่ จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดี
เพราะพอวางบนตักแล้ว ขนาดพอดีกับตักแม่เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง
รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่นที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง
 
        ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่
ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่
วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือ
มันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอก เวลาจะกลับบ้าน
วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่ไม่ไม่เอา
‘ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมด เอาไว้ในกล่องนะดีแล้ว’

                                                        
 
       ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายหน
แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักที ว่ามีอะไรในนั้น
พวกเรามักเรียกว่า ‘กล่องของแม่’ ก็เท่านั้น
และเป็นอันรู้กันว่า ห้ามย้าย ห้ามรื้อ กล่องของแม่เป็นอันขาด
 
ไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว ฉันเลยถามขึ้นว่า ‘มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ’
แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียว เวลาพูดถึงกล่องของแม่
รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือ
แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู
‘มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บนๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก’
 
       แม่หยิบอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม
แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง
‘นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียว
หน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ พอโตแล้วซนเป็นบ้า
ยายมันเลี้ยงซะเสียคน’
 
          นี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่ คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้และครอบครัว
แม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้าๆ
พวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า
รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่
รูปที่พวกลูกๆ หลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน
แม่ยังเก็บไว้ยังกะของมีค่า
 
      แล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่ง
กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจาย
เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ
‘อุ๊ย อะไรน่ะ’
ฉันรับปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่
ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้น จะร่วงปลิวไปตามแรงลม
 
‘วันเกิดพวกแกกับพวกหลานๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละ
ไม่งั้นเวลาไหว้พระ จำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่
เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่ นี่  แผ่นวันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน)
ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดี
แต่ยายนะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือบอกว่า เอ้า วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ
ตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
ฉันมันคนไม่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวกแกหรอก
มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดของแม่ได้ซักคน
วันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี’
 
น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ
อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้
ปฏิทินที่แม่ว่านั้น เป็นกระดาษสีนวลบางๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้าง
ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตออกมา


 
‘ลูกแปดคน ก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน’
‘อ้าว ทำไมละ’ เออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน
‘ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก
ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวร พ่อแกเขาหาว่าบ้า
เฮ้อจริงไม่จริง คนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนแหละ ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน
ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว ผู้ชายจะมารู้อะไรเขาไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่’

                    
 
       พูดถึงพ่อแล้ว แม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า
‘พอออกจากโรงพยาบาล อยู่เดือนยังไม่ครบดีฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย
ย่าแกด่าซะไม่มีดี เขาห่วง กลัวเราไม่สบาย
ไอ้ตอนนั้น เราก็ไม่รู้ เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่
พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซี ก็พูดเหมือนกันว่าแกเลี้ยงยาก
เพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ
ไอ้ฉันนะเสี่ยงเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลย
กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด
เวลาไปไหนๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ ให้แกไปดีมาดี
กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ ‘

 
       แม่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง กว่าจะพูดจบได้
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่
นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว
มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้
‘แกเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแก
ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้ว มีที่นอน
มีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงแต่แกน่ะแหละ
อีกไม่กีปี จะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ดี
อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระ จะได้อายุมั่น ขวัญยืน
ถ้าฉันยังอยู่กะแก ก็จะได้ไปจัดการให้ แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว
ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย’
 
       แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆ
เรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม
‘ไอ้กล่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่มีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ
หลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยละ
แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า พวกแกอีกหลงๆ ลืมๆ ‘
 
       ฉันไม่เคยรู้เลยว่า กล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อ
จนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า ‘สมองคอมพิวเตอร์’
ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที

               
 
      ฉันคงนั่งนิ่งไปนาน ถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า
‘แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวกพี่ๆ
เขาเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน แต่คนเดี่ยวนี้มันก็ภาระแยะ
ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบ
ไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีก
แม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เขา
อะไรๆ ฉันก็รู้ แต่ทำไงได้ละ คนมันยังไม่ถึงคราวตาย
มันก็ต้องอยู่ไปอย่างนี้แหละ ใช่ว่าอยากตาย ก็จะได้ตายซะที่ไหน
แก่แล้วลำบาก ไปไหนต้องอาศัยคนอื่น
ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคนนี้
มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเขา
ไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายเป็นภาระ
ความจริง ไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน
บางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่  แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที’
 
เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่คลายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ
ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้าข้างนอก ฝนเริ่มบางตา
แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง
 
          ‘แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า
ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่ มันคงดี เพราะราคามันแพง
จะมีคนแก่ซักกี่คน ที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆ อย่างนั้น
ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ ก็อย่าเลือกมากมาย
รีบแต่งงาน รีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบาก
ดูอย่างชั้นซี  อย่างน้อยถึงลูกไม่มีเวลามาดูแล
 ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้  ถ้าไม่มีลูก จะยิ่งลำบากมากกว่านี้’
 
ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่ง
ฉันบอกแม่ว่า ‘อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ’
‘อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมี
เรื่องต้องทำ ก็มีแยะไปหมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
แต่ถึงพวกแกไม่มา ฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก
ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้ว
อยากเห็นหน้าลูก ก็ดูลูกเอาในนี้ อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มา ก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที’
 
        แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้น
รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกับฝนที่ขาดเม็ด
อีกไม่กี่เมตร จะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้
ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ
แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ
ฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ
 
คงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง ‘กล่องของแม่’
………
รักแม่ ดูแลและตอบแทนแม่ของคุณให้มากๆ
ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ
ทำซะก่อนที่จะรู้สึกเสียใจ
ในชีวิตนี้คุณมีแม่เพียงคนเดียวนะ
คนอื่นคุณหาได้ มีได้อีกเยอะ จริงมั้ย

                      
 

ใส่ความเห็น