ฤาจะจุดไฟเผาปอดไปตลอดกาล

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 29 พฤษภาคม 2552 09:13 น

 

 

ในยุคสมัยที่ท้องฟ้ามืดดำไปด้วย หมอกควัน
เปลวไฟจากไฟแช็กร้อนแรงราวกับจะแผดเผา สิงห์อมควันค่อยๆ
บรรจงจ่อปลายบุหรี่เข้ากับดวงไฟ
เมื่อจุดติดดีแล้วจึงโยนไฟแช็กไว้ที่กลางโต๊ะ แล้วนั่งจมลงบนโซฟา
สองแขนก่ายพนักพิง ในมือคีบบุหรี่ด้วยท่วงท่าที่สาวๆ
เห็นคงอ่อนระทวยกันเป็นแถบ แล้วเคลื่อนบุหรี่ในมือมาอุดปากไว้
สูบเข้าไปแล้วพ่นควันสีเทากระจัดกระจายขึ้นฟ้า

       
       จน…เครียด…กลุ้ม…เซ็ง…คิดไม่ออก…อัดบุหรี่อีกเฮือกหนึ่ง
ให้ควันไหลออกจากรูจมูกพรั่งพรู
แล้วบดขยี้ส่วนที่เหลือลงกับจานเขี่ยจนแหลกละเอียด
แล้วแอบกระแอมไอออกมาเบาๆ
       
       ดูเหมือนนี่จะเป็นหนทางง่ายๆ ที่หลายคนใช้เขี่ยทุกข์ออกจากอก
แต่ในความจริงแล้วความทุกข์นั้นไม่ได้ห่างหาย
แถมยังได้โรคภัยไม่ได้รับเชิญแบกเพิ่มเป็นภาระ
       
       และในวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันรณรงค์งดสูบบุหรี่โลก
(World No Tobacco Day) ‘ปริทรรศน์’
จึงขอนำเสนอสถานการณ์บุหรี่ต่อสาธารณชนและสังคมไทย
       
       เลิกซื้อ เลิกสูบ ?
       การขยายเพดานจัดเก็บภาษีบาปจากบุหรี่
มีผลทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นประมาณ 11 -16 บาทต่อซอง ซึ่งบุหรี่ไทย เช่น
สายฝน กรองทิพย์ กรุงทอง ปรับเพิ่มซองละ 11 บาท
โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 45 บาท เสียภาษีอยู่ที่ 23.92 บาทต่อซอง
โดยอัตราใหม่จะทำให้ราคาขึ้นไปที่ซองละ 56 บาท และเสียภาษีซองละ 34.92 บาท
       
       ส่วนบุหรี่นอก เช่น แอลเอ็มจะปรับเพิ่มซองละ 12 บาท
และมาร์ลโบโรจะปรับเพิ่มซองละ 16 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ซองละ 63 บาท
เสียภาษีที่ซองละ 32.68 บาท อัตราใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มเป็นซองละ 79
บาท และเสียภาษีซองละ 48.60 บาท
       
       ในกรณีนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้สิงห์อมควันหลายคนอยากจะเลิก (ซื้อ) บุหรี่เพื่อลดค่าใช้จ่าย
       
       "เลิกซื้อแล้วครับ แต่ยังไม่เลิกสูบ" แซ้ง พ่อค้าขายอาหารตามสั่งพูดด้วยสีหน้าแอบเซ็งหลังจากราคาบุหรี่พุ่งสูงขึ้น
       
       "ใช้บริการบุหรี่แบ่งขายอยู่ครับ ไม่มีตังค์ซื้อเป็นซอง" ฮอลล์ เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่ต้องใช้บริการบุหรี่แบ่งขาย
       
       "ใบจาก+ยาเส้น ตราแมวแดงสูบได้จนปอดพัง" เตี๊ยม
ชายหนุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากราคาบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นจึงต้องหันเหจากการ
สูบบุหรี่ไปมวนยาเส้นแทน
       
       การสูบบุหรี่นั้นเป็นพฤติกรรมของความเคยชิน
ถ้าว่ากันตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์แล้ว
การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมโหยหาความสุขในวัยเด็ก
เนื่องจากระหว่างที่มีพัฒนาการทางจิต ทำให้พวกเขาติดอยู่ที่ความสุขทางปาก
เหมือนเด็กติดนมแม่
บวกกับพฤติกรรมของเด็กผู้ชายที่ติดแม่มากกว่าเด็กผู้หญิง
จึงทำให้กลุ่มผู้สูบบุหรี่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด
สรุปก็คือกลุ่มผู้ชายที่ติดบุหรี่ก็คือกลุ่มผู้ชายที่โหยหาความรักจากแม่
นั่นเอง
       
       แต่เมื่อเติบโตขึ้น
สังคมไม่ได้ยอมรับพฤติกรรมของผู้ชายที่ติดนมแม่
การหาบุหรี่มาสูบในเวลาเครียดๆ
ก็เพื่อทดแทนความสุขทางปากที่มีมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง
ประกอบกับคนเรามักมีพฤติกรรมถดถอยสู่วัยเด็ก
เวลาที่เผชิญกับความเครียดที่ยากจะเอาชนะได้ ดังนั้นจึงพบอยู่เสมอๆ ว่า
เวลาที่คนพวกนี้เครียด จะต้องมองหาบุหรี่มาจุดสูบระบายความเครียด
       
       เคยชินกับนิโคติน
       เคยถามบางคนที่สูบว่าทำไมไม่เลิก ก็เคยได้คำตอบว่า
       
       "ลงทุนสูบมามากแล้ว จะเลิกก็เสียดาย"
       
       "คนที่สูบไม่เห็นเป็นอะไร คนที่เลิกแล้วตายเร็วกว่าคนที่สูบอีก" หรือ
       
       "เลิกบุหรี่แล้วทำให้อ้วน"
       
       ซึ่งเหตุผลต่างๆ ที่นำมาแก้ตัวนั้น ความจริงแล้วเป็นการติดสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่นั่นเอง
       
       ผศ.นพ.สเปญ อุ่นอนงค์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี กล่าวว่า การติดบุหรี่เป็นการติด 2 ทางร่วมกันคือ การติดทางร่างกาย และการติดทางจิตใจ
       
       "การติดทางร่างกาย คือการที่ร่างกายติดสารนิโคติน
เกิดจากการสูบบุหรี่อยู่เป็นประจำจนร่างกายติดสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติด
ที่อยู่ในบุหรี่
เมื่อหยุดสูบบุหรี่สารนิโคตินในร่างกายจะลดลงทำให้เกิดอาการขาดนิโคติน
ได้แก่ อาการหงุดหงิด กระวนกระวาย คิดอะไรไม่ออก
ต้องหาบุหรี่มาสูบเพื่อเติมนิโคตินให้เพียงพอดังเดิม
เมื่อหยุดสูบบุหรี่ภาวะเสพติดทางร่างกายจะค่อยๆหายไปในเวลาประมาณ 3-4
สัปดาห์ ดังนั้น ถ้าเราสามารถทนหยุดสูบบุหรี่ได้เพียง 3-4 สัปดาห์
ร่างกายของเราก็จะพ้นจากภาวะติดบุหรี่
       
       "การติดทางจิตใจ คือการสูบบุหรี่จนติดเป็นนิสัย
เกิดจากการเรียนรู้ว่าการสูบบุหรี่ทำให้หายเครียด เพลิดเพลิน หายเบื่อ
สมองแล่น ทำให้เกิดการติดอกติดใจอยากสูบเรื่อยๆ
จนติดเป็นนิสัยหรือเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
เมื่อไรที่รู้สึกเครียดหรือเบื่อๆ ก็จะคิดถึงบุหรี่
       
       "ภาวะเสพติดทางจิตใจเป็นสาเหตุสำคัญของการกลับมาสูบใหม่หลังจากเลิก
ได้แล้ว ดังนั้น ผู้ที่พยายามเลิกสูบบุหรี่และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว
ยังต้องปฏิบัติตนเพื่อการเลิกสูบบุหรี่ต่อไปเรื่อยๆ
จนเกิดเป็นนิสัยหรือเป็นความเคยชินอันใหม่ที่ไม่มีการสูบบุหรี่"
       
       นอกจากนั้น
ผศ.นพ.สเปญยังบอกอีกด้วยว่าความจริงแล้วการต่อสู้กับการติดทางใจมีหลายวิธี
หลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุ หรือกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดความอยากสูบบุหรี่ เช่น
ไม่พกบุหรี่ติดตัว ทิ้งอุปกรณ์สูบบุหรี่ทั้งหมด
ไม่เข้าใกล้คนที่กำลังสูบบุหรี่ เลือกที่นั่งในบริเวณที่ห้ามสูบบุหรี่
ถ้าดื่มกาแฟหรือเหล้าแล้วอยากสูบบุหรี่ก็ให้หยุดดื่มหรือเปลี่ยนไปดื่มอย่าง
อื่นแทน
       
       "ควรเบี่ยงเบนความสนใจ โดยหาวิธีอื่นๆ
ในการจัดการกับความเครียด วิธีจัดการกับความเครียดนั้นมีมากมายหลายวิธี
บางคนใช้วิธีดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา บางคนใช้วิธีปิดห้องแล้วตะโกนดังๆ
แต่คนที่สูบบุหรี่มีวิธีที่ง่ายและรวดเร็วกว่านั้นคือสูบบุหรี่
ไม่ว่าเครียดจากอะไรก็ตามสูบบุหรี่แล้วจะสบายไปสักพักหนึ่งอย่างทันอกทันใจ
ทำให้ไม่สามารถทนใช้วิธีอื่นๆ ซึ่งอาจจะได้ผลเช่นกันแต่ช้ากว่า
       
       "ดังนั้น
ผู้ที่ใช้บุหรี่เพื่อลดความเครียดและต้องการเลิกสูบบุหรี่คงต้องศึกษาหรือ
สังเกตดูพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ไม่สูบบุหรี่ว่าเขาจัดการกับความเครียดอย่างไร
ถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ทั้งๆ ที่เขาก็เครียดเหมือนกัน
ทดลองใช้วิธีจัดการกับความเครียดแบบต่างๆ ดูแล้วจดจำวิธีที่ชอบเอาไว้ใช้
       
       "กำหนดวันที่จะหยุดสูบอย่างเด็ดขาด เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวและทำใจ
อาจจะกำหนดโดยใช้วันที่มีความหมายพิเศษบางอย่าง เช่น วันเกิด
วันครบรอบแต่งงาน วันเกิดลูก หลังจากนั้นให้ใช้เวลาช่วงนี้ค่อยๆ
พยายามลดการสูบบุหรี่ลง โดยจำกัดจำนวนบุหรี่ที่จะสูบในแต่ละวันลงเรื่อยๆ"
       
       บุหรี่มือสอง
       บางครั้งตัวเองไม่ได้สูบแต่ต้องไปนั่งสูดควันบุหรี่
เพราะบุหรี่ไม่ได้มีผลเสียแค่ต่อคนสูบเท่านั้น
ควันหลงจากบุหรี่ยังส่งผลทำอันตรายคนรอบข้างได้อย่างร้ายกาจ
       
       ไม่ รักตัวเองแล้วเอาของเสียๆ ไปเข้าร่างกายเพื่อน เอาของเสียๆ
ไปเข้าร่างกายพ่อ แม่ เอาของเสียๆ ไปเข้าร่างกายสามี ภรรยา เอาของเสียๆ
ไปเข้าร่างกายลูกหลาน
       
       ไม่รักเพื่อน, พ่อ แม่, สามี ภรรยา, ลูก หลาน บ้างหรือ?
       
       อยากให้พวกเขาตายเร็วนักหรือ?
       
       กัมปนาท พรภิรมย์ คุณพ่อลูก 3 ที่ตัดสินใจเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่หลายๆ คนคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีว่า ‘เพื่อคนที่คุณรัก’
       
       "ลูกคือสาเหตุสำคัญ บุหรี่ขนาดเท่านิ้วก้อย ถ้าเอาชนะมันไม่ได้
แล้วจะไปชนะอะไร" กัมปนาทพูดถึงแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขาเลิกบุหรี่ได้
แล้วเมื่อเราถามต่อไปอีกว่าจริงๆ แล้วบุหรี่เลิกยากแค่ไหน
เขาก็เล่าให้ฟังว่า
       
       "จริงๆ
แล้วการเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะบุหรี่นั้นอ่อนกว่ายาเสพติดชนิดอื่นตั้งเยอะ
เพียงแต่ใจจะแข็งพอหรือไม่ เชื่อว่าพ่อทุกคนสามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกได้
แค่การเลิกบุหรี่ทำไมจะทำไม่ได้
       
       "เมื่อก่อนผมสูบบุหรี่ตลอดเวลา ควันก็อบอวลอยู่ในห้อง
ผมเลิกบุหรี่ด้วยแรงดลใจจากลูกเป็นสำคัญ เพราะเป็นห่วงสุขภาพลูก
เวลาที่พาลูกไปไหนก็จะห้ามทุกคนที่อยู่ใกล้ไม่ให้สูบบุหรี่ด้วย
อยากฝากถึงพ่อทุกคนที่สูบว่าถึงตัวเองจะไม่ตายเพราะบุหรี่ก็อาจทำให้ลูกของ
เราต้องได้รับอันตรายได้
       
       "ถามว่าตอนงดสูบบุหรี่เป็นอะไรไหม บอกได้เลยว่าไม่เป็นไรเลย
แล้วที่หลายคนบอกว่าเลิกไม่ได้นั่นมันเป็นเพราะความเคยชินมากกว่า
ฝึกทำไปเรื่อยๆ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ข้อสำคัญอยู่ที่อย่าท้อแท้
ถ้าต้องกลับไปสูบบุหรี่อีกอย่าไปกังวล เพราะถือเป็นเรื่องธรรมดา
ที่หลายคนอาจต้องใช้ความพยายามหลายครั้งกว่าจะเลิกได้"
       
       เตือน! ก่อนบุหรี่ฆ่าคุณ
       31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลกเวียนมาอีกหน
หลายหน่วยงานพยายามออกมาร่วมกันรณรงค์เตือนพิษภัยของการสูบบุหรี่
เพื่อให้สังคมไทยปลอดควัน และช่วยหยุดเด็กไทยไม่เริ่มต้นสูบบุหรี่
       
       นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดคำขวัญรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ปีนี้ว่า ‘บุหรี่มีพิษ
ร่วมคิดเตือนภัย’ จากภาษาอังกฤษ ‘Tobacco Health Warning’ 
       
       "โดยแต่ละปีมีคนไทยที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 42,000 คน
และพบว่าประเทศไทยมีผู้ที่อายุมากกว่า 15 ปี เสพติดบุหรี่ถึง 9.5 ล้านคน
โดยเป็นเยาวชนไทยสูบบุหรี่ถึง 1,270,721 คน
และพบว่าโทรทัศน์เป็นแหล่งสำคัญที่สุดที่ให้ข้อมูลพิษภัยของบุหรี่คือ 82
เปอร์เซ็นต์ ข้างซองบุหรี่ 36 เปอร์เซ็นต์ สื่อสิ่งพิมพ์ 22 เปอร์เซ็นต์
บุคลากรสาธารณสุข 21 เปอร์เซ็นต์ เพื่อน/ญาติ 18 เปอร์เซ็นต์ วิทยุ 15
เปอร์เซ็นต์ คนในบ้าน 10 เปอร์เซ็นต์ ครู 1.7 เปอร์เซ็นต์ พระ 0.8
เปอร์เซ็นต์
และสาเหตุที่สัดส่วนการได้รับความรู้จากข้างซองบุหรี่ค่อนข้างต่ำ
เนื่องจากคนไทยที่สูบบุหรี่ครึ่งหนึ่งสูบบุหรี่มวนเอง ซึ่งไม่มีคำเตือน
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคนร่วมใจกันเตือนพิษภัยบุหรี่
       
       "ขณะนี้บริษัทบุหรี่ได้ทำซองให้มีสีสันเพื่อลดทอนประสิทธิภาพของคำ
เตือน และบางบริษัททำผิดกฎหมายด้วยการยังคงมีคำว่า light, mild หรือรสอ่อน
ปรากฏอยู่บนซอง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีกฎหมายห้าม
ขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐาน เพื่อให้มีการจัดการตามกฎหมายต่อไป"
       
       หยุดจุด หยุดสูญเสีย
       จาก นี้ ‘ปริทรรศน์’
จะเปิดเผยถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่มาบอกให้สังคมทราบว่า ในอีก 10-20
ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่สูบบุหรี่
และการสูญเสียจะไม่เกิดขึ้นหากไม่เริ่มต้นสูบ อย่างไรก็ตาม
หากผู้สูบเลิกได้ก่อน ร่างกายจะฟื้นตัวได้
แต่ถ้าหากไม่เลิกจะพบกับความสูญเสีย
เพราะการรักษาโรคร้ายแรงจากการสูบบุหรี่ทำได้เพียงประคับประคองคนไข้ให้มี
ชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
       
       ชาย เมืองสิงห์
ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดสมองตีบ บอกว่า
ผลพวงจากโรคเส้นเลือดสมองตีบมาจากการสูบบุหรี่ ทำให้ไปไหนเคลื่อนไหวไม่ได้
จำได้ดีว่าต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ต้นปีนี้เอง
ตลอดเวลามีความตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่ แต่ยังเลิกไม่ได้
       
       "ผมเคยรับปากหลวงพ่อที่นับถือว่าจะเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ แต่เลิกได้
3 เดือนกลับมาสูบอีก เพราะเวลาเดินทางไปไหนต่อไหนมีเวลาว่างก็จะสูบบุหรี่
เวลาแต่งเพลงก็จะสูบบุหรี่ และเมื่อป่วยจึงเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
หลังเลิกบุหรี่สมองดีขึ้น ทำอะไรก็ไม่เหนื่อยมาก รู้สึกสมองปลอดโปร่ง"
       
       ซัน ใจเผื่อแผ่ ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง บอกว่า ตนเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนอายุ 7 ขวบ พออายุ 30 ปีเริ่มมีปัญหาเป็นโรคถุงลมโป่งพองแล้ว
       
       "สิ่งนี้ทำให้ชีวิตเปลี่ยน ความจำก็ไม่ดี ระบบขับถ่ายก็เสีย
ชีวิตต้องอยู่กับท่อออกซิเจนตลอดเป็นเวลาหลายสิบปี
ถ้าไม่เลิกบุหรี่ก็คงเสียชีวิตไปแล้ว
ตอนนี้ไม่ต้องใช้ชีวิตที่มีท่อออกซิเจนแล้ว"
       
       การุญ ตระกูลเผด็จไกร
ป่วยด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียง
ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมผู้ไร้กล่องเสียงแห่งประเทศไทย บอกว่า
คนที่ถูกตัดกล่องเสียงจะรู้สึกว่าตนเองหมดสภาพความเป็นมนุษย์
ชีวิตของคนที่อยู่บนเส้นทางนี้ หลายคนครอบครัวแตกแยก ตกงาน
เพราะไม่สามารถสื่อสารได้
       
       "ผมต้องใช้เวลากว่า 3
ปีถึงจะพูดได้
และในแต่ละปีต้องสะเทือนใจที่เห็นคนเป็นร้อยสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฯ
ดังนั้น
จึงคิดว่าสมาคมผู้ไร้กล่องเสียงฯจะเป็นวิทยากรรณรงค์ไม่สูบบุหรี่เพื่อสะสม
บุญดีกว่าการสะสมควันบุหรี่
       
       "และวันที่ 30
พฤษภาคมนี้
สมาคมผู้ไร้กล่องเสียงฯจะจัดกิจกรรมอบรมผู้ไร้กล่องเสียงให้เป็น
วิทยากรรณรงค์ไม่สูบบุหรี่
และจะเดินรณรงค์จากสะพานควายไปยังสวนจตุจักรเพื่อใช้โอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก
นี้เตือนสติประชาชนไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่"
       
       คน
ทั้งโลกต่างรู้ดี เหล้าและบุหรี่ คือมือสังหารผู้เหี้ยมโหด
แต่เคยสะดุดใจกันหรือไม่?
ยิ่งนานวันจำนวนผู้ตกเป็นทาสของมันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

       
       ***********
       
       Quit Smoking
       
       แผ่นปะนิโคติน
       การให้นิโคตินทดแทนในรูปของแผ่นปะนิโคติน
หลักการคือการให้นิโคตินแก่ร่างกายในขนาดต่ำๆ
เพื่อระงับอาการขาดนิโคตินแล้วค่อยๆ ลดขนาดยาลงเรื่อยๆ จนหมด
สามารถใช้แผ่นปะนิโคตินได้ตลอดเวลารวมทั้งเวลานอนด้วยทำให้เมื่อตื่นขึ้นมา
เราจะไม่ค่อยหิวบุหรี่
       
       แต่การใช้แผ่นปะก็มีข้อจำกัดคือ
เมื่อเริ่มใช้นิโคตินทดแทนผู้สูบบุหรี่ต้องหยุดสูบทันที
การใช้ยาไปด้วยแล้วค่อยๆ สูบน้อยลงจะทำให้เลิกสูบบุหรี่ไม่สำเร็จ
นอกจากนั้น
ปริมาณนิโคตินโดยรวมที่ร่างกายได้รับเข้าไปอาจมากเกินไปทำให้เกิดอันตรายได้
ดังนั้น การใช้แผ่นปะจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
       
       มะนาว
       รับประทานมะนาวฝานพร้อมเปลือก เคี้ยวนานๆ 3-5 นาที จากนั้นดื่มน้ำ
1 อึก ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ ทำให้สูบรสบุหรี่ไม่อร่อย ขม เฝื่อน
จนไม่อยากสูบอีก ผลการวิจัยพบว่า
ในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากของนิโคตินได้
และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
จึงมีการนำมาใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่
โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว
พบว่า เมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก
เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม
ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป 
       
       การเลิกบุหรี่ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะสามารถเลิกบุหรี่ได้ภายใน 2
สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ อย่างไรก็ตาม
แม้อาการทางกาย คือความอยากจะหมดไปแต่ อาการทางใจบางครั้งจะยังมีอยู่ เช่น
เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ
และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน
       
       หมากฝรั่ง
       เคี้ยวจนลืมควันบุหรี่
ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่หิวกระหายสารนิโคตินจากควันบุหรี่
โดยปริมาณนิโคตินที่ผสมอยู่ 2 มิลลิกรัม
ถือว่าไม่มากและไม่น้อยเกินไปสำหรับนักอมควันทั่วไป
เพราะสารนิโคตินที่แฝงอยู่ในเนื้อหมากฝรั่งจะค่อยๆ ปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ
โดยใช้เวลาอยู่ในปากเราได้ถึง 40 นาที แต่ให้ใช้ได้ประมาณ 8-10 เม็ดต่อวัน
เพื่อให้เกิดผล ควรหยุดการสูบบุหรี่
รวมทั้งงดดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม
15 นาทีก่อนใช้ และควรเคี้ยวครั้งละ 1 เม็ด 
       
                 สำหรับผู้ที่มีความต้องการสารนิโคตินมากให้ใช้ 2 เม็ดได้
แต่ไม่ควรทำบ่อย ส่วนการเคี้ยวไม่ควรเคี้ยวเร็วจนเกินไป
ให้มีจังหวะหยุดเป็นพักๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น
การระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร การปวดมวนในท้องหรือท้องอืด 
       
                 เมื่อความต้องการบุหรี่ลดลง
ควรลดจำนวนในแต่ละวันลงตามลำดับ เพราะจากผลวิจัยพบว่า ใช้เวลาเพียง 21
วันเท่านั้นก็โบกมืออำลาบุหรี่ได้เลย ส่วนในรายที่ติดมากๆ อาจใช้เวลาถึง 3
เดือน
       
       บุหรี่ไฟฟ้า
       มีส่วนประกอบหลักสำคัญ ได้แก่ 1.แบตเตอรี่ 2.ตัว Atomizer และ
3.ไส้นิโคตินหรือที่เรียกว่า Cartridge
ไส้นิโคตินจะบรรจุของเหลวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารที่เรียกว่า
โพรไพลีนไกลคอลและมีนิโคตินในปริมาณต่างๆ ตั้งแต่ 0 มิลลิกรัมไปจนถึง 24
มิลลิกรัม เมื่อของเหลวที่บรรจุใน Cartridge
โดนคลื่นอัลตราโซนิกหรือความร้อนจาก Atomizer
ก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นไอน้ำ เปรียบได้กับควันบุหรี่ปลอมๆ
ถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีที่จะสร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับการสูบ
บุหรี่ คงไว้ซึ่งสุนทรีย์ในการสูบ และไม่มีกลิ่น
ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องลมหายใจ ฟันไม่เหลือง
และตัดปัญหาเรื่องควันบุหรี่มือสองได้
       
       บุหรี่ไฟฟ้าจึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้คนที่ติดบุหรี่
สามารถหลีกเลี่ยงจากโรคร้ายที่เกิดจากการสูบบุหรี่
หรือสามารถเลิกสูบบุหรี่จริงได้อย่างถาวร โดยที่ไม่รู้สึกว่าขาดบุหรี่
       
       **********


 

 

 

 

 

 

 


 

 

       เรื่อง – เพลงมนตรา บุปผามาศ
       ถ่ายภาพ – พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร

 

คลิกที่ีนี่เพื่อดูข้อมูลอ้างอิงจากเวบผู้จัดการออนไลน์

www.manager online .co.th     

เชิญร่วมงานปฏิบัติธรรมและสัมมนากลุ่มพระธุดงค์รวม ประจำปี ๒๕๕๒

         ณ.วัดสวนป่าศรัทธาธรรม บ้านโนนสำราญ (โสกตูมกา) ต.นาจาน อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ในวันศุกร์ที่ ๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำถึง ๑๕ ค่ำ เดือน๗ ปีฉลู ในงานมีการสมาทาน

ปฏิบัติอุโบสถศีล(ศีล ๘) ทานอาหารมังสวิรัติ วันละ ๑ มื้อ ทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมฐานสมาธิวิปัสสนา เดินจงกรม ทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อเข้าร่วมประชุมกำหนดกติกา เสริมรากฐานในการทำงานพระศาสนาเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน..

          อย่าลืม..สาธุชนคนบุญทั้งหลาย ขอเชิญชำระจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ก่อนปวารณาเข้าพรรษา พบปะสนทนาธรรมกับบรรดา  ญาติธรรม ญาติโยมจากต่างจังหวัด ผู้ปฏิบัติตนตามแนวทางสัมมาอริยมรรค เพื่อเพิ่มพลังธรรม  เพื่อระลึกทบทวน สรุปสภาวธรรมและกิจกรรมที่ได้กระทำมา เพื่อใช้เป็นเข็มทิศชี้นำในการปฏิบัติก้าวต่อไป เพื่อยังประโยชน์ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ได้อาศัยเป็นองค์ความรู้ ฐานข้อมูล ในการศึกษาพฤติกรรม กิจกรรม พิธีกรรมและวิธีการดำเนินงานของกลุ่มพระธุดงค์รวม อันจะเป็นแนวทางในการสืบสานงานของพระศาสนาต่อไป

         การเดินทางลงรถที่ สถานีขนส่งชุมแพ(บขส.ใหญ่)ไปขึ้นรถต่อที่ สถานีขนส่ง บขส.เล็ก (ติดกันกับ บขส.ใหญ่) ขึ้นรถสองแถวสาย ชุมแพ- นาจาน หรือรถสายชุมแพ- อุดร ลงที่ป้ายสวนป่าศรัทธาธรรม เลยทางแยกโศกก้อง ๑ กม.

 

ติดต่อสอบถามได้เบอร์โทรศัพท์

080-6824881

087-9654268

E-mail.. piyatum@gmail.com

 

                   ขอบจบลงที่วาทะของท่านพุทธทาสที่กล่าวเตือนพวกเราว่า

 

ศีลธรรมโลกุตรธรรมทีท่า

มิกลับมาโลกาต้องร้องไห้

ความวินาศโลกามิช้าไกล !

พุทธทาสเตือนไว้ให้สังวร

พุทธทาสยังมิตาย

ถ้าสืบสายศีลธรรม

 

"ธรรมย่อมรักษาผุ้ประพฤติธรรม"

"ธรรมที่ผู้ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้"

 

      

ฝุ่นฟ้าฝากฝัน..รับน้องใหม่..

 

   สมาน สมาชิกสภา อบต. พึ่งเลิกจากการประชุมกลับมา ถึงบ้าน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดเก่า เพื่อออกไปรดน้ำผัก ในสวน ท้ายหมู่บ้าน เห็นจดหมายของลูกชาย ที่ไปเรียน มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด วางอยู่บนโต๊ะ สมานดีใจที่จะได้ข่าวลูก

"กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพรักของลูก
"แต่ก่อนผมคิดว่าจบ ม.๖ แล้วไปสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อได้นั้น เป็นความสำเร็จอีกอย่างในชีวิต วาดอนาคต ไว้รางๆ ว่าจะมุ่งไปสู่จุดนั้นๆ แต่เมื่อผมได้เข้ามาสู่แวดวงของมหาวิทยาลัยแล้วจึงรู้ว่า มันไม่ง่าย อย่างที่ผมคิดไว้เลย การก้าวมุ่งไป สู่ความสำเร็จนั้น นักศึกษาใหม่ ต้องตั้งใจจริง ฉลาดรู้เท่าทัน สภาพสังคม ค่านิยมของเหล่านักศึกษา ในมหาวิทยาลัย มีทั้งดีและเลว ผมโชคดีที่พ่อแม่ปฏิบัติธรรม นำพาไปในทางดี ทำแต่สิ่งเจริญสร้างสรรค์ มาตลอด ผมยังจำได้ แม่เคยสอนให้ผมขยันอดทน ซื่อสัตย์ประหยัดและให้อภัย ผมจึงมีภูมิคุ้มกัน ให้พ้นค่านิยม สังคมเลวร้าย ที่จะดูดดึง ให้ไปหลงติด ได้พอสมควร

"เรื่องการรับน้องใหม่ เขาจะจัดรับกันทุกคณ ะและคงเหมือนกันทุกมหาวิทยาลัย ต่างกันก็ที่จะรับกัน หนักเบาแค่ไหนเท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยของผม จะมีงานรับน้องใหม่แบบนี้ครับ

"วันแรก รุ่นพี่มารอพบพวกน้องๆ แล้วต่างทักทายจับจองตัวคนนั้นน้องกู คนนั้นน้องข้าจองน้องๆ เอาไว้ปฏิบัติการแกล้ง ตามค่านิยมที่สืบทอดกันมา จนเป็นประเพณี ที่ยากจะเลิกไปได้ วันต่อมารุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้อง เข้าประชุมที่ห้องเก็บของ ใต้แสตนด์เชียร์ใหญ่ ในสนามกีฬา เป็นการประชุมลับ ที่คณะอาจารย์ ไม่รู้ไม่เห็นด้วย เมื่อรุ่นน้องเข้าไปนั่งอัดกันอยู่ กับพื้นจนหมดแล้ว รุ่นพี่ก็เดินเรียงแถว เขามายืนอยู่รอบๆ พร้อมออกคำสั่ง ให้รุ่นน้องทุกคน ก้มหน้าลง จนหน้าแตะพื้น ห้ามเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาด แล้วการฝึกความอดทน ก็เริ่มขึ้น "ไอ้พวกสัตว์" เป็นคำแรกที่ดังขึ้น และคำต่อๆ ไปที่พวกพี่ๆ สรรหามานั้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบรุนแรง คิดว่าเป็นการฝึกอดทนก้มหน้า ให้เขาดุด่า เหตุที่ให้ก้มหน้านั้น ก็คงจะกลัวรุ่นน้อง เห็นหน้าพวกรุ่นพี่ ที่กำลังอ้าปากถ่มถ้อยคำ อันหยาบช้า ออกมากระมัง

"รุ่นน้องบางคนก็ถูกรุ่นพี่หาเรื่องแกล้ง ลงโทษให้คลานตามพื้น กลิ้งหรือนอนกลางแดด เพื่อนของผมเดินสวนทางกับรุ่นพี่ ในคณะเดียวกันแล้วไม่ทัก เพราะจำไม่ได้ หลังเลิกเรียน เพื่อนผมถูกตามตัวให้ไปพบ ที่หอพักของรุ่นพี่ แล้วบังคับ
ให้กินมะระจีน หลายลูกจนอ้วก ออกมาแทบหมดไส้หมดพุง พวกรุ่นพี่ให้เพื่อนผมนอนลงแล้วบอกว่าจะนับหนึ่งถึงสิบให้
วิ่งลงหนองน้ำ ซึ่งอยู่ห่างหอพัก ประมาณร้อยเมตร พวกพี่ๆต่างหัวเราะกันครื้นเครงแล้ว สำทับว่า วันนี้มึงกลับได้แต่
วันหลังมึงจำกูไม่ได้ มึงโดนดีกว่านี้แน่

"ผมมีความรู้สึกว่า กฎเกณฑ์ พวกรุ่นพี่ได้ตั้งเอาไว้นั้นมัน ยอดแย่จริงๆ ไร้สาระไม่เป็นธรรม และไร้ศีลธรรม คงจะมีที่ มหาวิทยาลัย ที่ผมเรียนอยู่แห่งเดียวเท่านั้นมั้ง กฎเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ คือว่า

๑. รุ่นพี่ถูกเสมอ

๒. รุ่นพี่ไม่มีวันผิด

และ ๓. ถ้ารุ่นพี่ผิด ให้ย้อนไปดูข้อ ๑ และข้อ ๒ รุ่นน้อง จึงมีแต่เรื่องผิดอยู่ฝ่ายเดียว

"แล้ววันต้อนรับน้องใหม่ ครั้งใหญ่ก็มาถึง พวกพี่ๆ ได้ นัดรุ่นน้องให้ไปรวมกันอยูในห้องประชุมมืด ใต้แสตนด์เชียร์ ใหญ่ของสนามกีฬาอีกครั้ง "เร็วๆ เข้าไปๆ" คำสั่งของรุ่นพี่ ให้รีบเร่งกลัวอาจารย์จะรู้ เพราะมหาวิทยาลัย สั่งห้ามและ จะลงโทษอย่างหนักกับ นักศึกษารุ่นพี่ ที่จัดการต้อนรับน้องใหม่ ด้วยพฤติกรรม ที่ไม่มีอาจารย์ รู้เห็นด้วย แต่พวกรุ่นพี่ ก็คึกคะนอง จัดกันจนได้ สั่งให้พวกผม ทั้งคณะประมาณ ๗๐ คน เข้าไปอยู่ในห้องมืด ตั้งแต่หนึ่ทุ่ม โดยไม่รู้ว่า รุ่นพี่เขากักขัง พวกเราไว้เพื่ออะไร

"สี่ทุ่มทุกอย่างยังคงเงียบ เพื่อนบางคนลงนอนกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย สำหรับ ผมรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเลย

"ตีสาม ประตูเปิดออก พวกรุ่นพี่ต่างมากันพร้อม "เร็วๆ ออกมาเร็วๆ" พวกเราถูกต้อนไปที่สระน้ำใหญ่ข้างสนามกีฬา แล้วก็สั่งให้ กระโดดลงไปให้แช่ตัว อยูในน้ำนานไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง พึ่งรู้ว่า น้ำในสระตอนตีสามนั้น มันเย็นจริงๆ พวกรุ่นพี่ หัวเราะสะใจ ที่ได้เห็นพวกเรา หนาวสั่น

"เกมต่อมาพี่เขาสั่งให้พวกเราเงยหน้าขึ้นได้ ตากับจมูกเท่านั้นที่พ้นจากน้ำ ส่วนอื่นๆ ให้อยู่ใต้น้ำ แล้วพวกเขา ก็เทลูกชมพู่ ที่เตรียมไว้ลงในน้ำ เพื่อให้พวกน้องใหม่ คาบเอาไว้ให้ได้ คนละหนึ่งลูก หากว่าน้องที่เป็นผู้ชายคนไหน คาบลูกชมพู่ไมได้ น้องคนนั้น ต้องขึ้นมาเป็นซูเปอร์แมน คือ ให้วิ่งเข้าไปในป่าใกล้สระน้ำ แล้วถอดกางเกงใน ออกมาสวมทับ กางเกงขายาว เดินออกมายืนอยู่ริมสระน้ำ แล้วพวกเขา จะสั่งให้เต้นสารพัดท่า และแสดงออกให้พวกเพื่อนที่อยู่ในน้ำดูกันจนพอใจ ถึงได้จบเกมรับน้องใหม่กัน

"เมื่อพ่อแม่ได้รับรู้เรื่องราวในช่วงแรกๆ ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็อย่าพึ่งตกใจ เพราะถึงอย่างไร ผมก็ได้ ผ่านพ้น เหตุการณ์นั้นๆ มาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังสบายดีครับ

"ที่ผมเคยมุ่งแต่อยากไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อตาม ค่านิยมของสังคมนั้น พึ่งมานึกได้ว่าคิดผิด แท้จริงแล้ว ผมน่าจะไปเรียนต่อ ที่วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย ใกล้บ้านที่สุดนั่นแหละ คือแนวทางที่ถูกต้องที่สุดเลย เพราะค่าใช้จ่าย ต่างๆ จะน้อยกว่ากัน ยิ่งมีที่เรียนอยู่ใกล้ เช้าไปเย็นกลับได้ ยิ่งจะดีมาก เพราะสิ่งที่เรา ต้องการ คือ เรียนให้จบ เพื่อรับเอา ปริญญา มาสมัครงาน หาเงินกันแทบทั้งนั้น จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน วุฒิหรือคุณค่าของ ใบปริญญานั้น จะไม่ต่างกันเลย ใบปริญญา จะมีคุณค่าได้ ก็อยู่กับตัวเราเอง"

สมานอ่านจดหมายของลูกชายจบ แล้วถอนหายใจยาว รู้สึกขุ่นข้องใจ กับค่านิยมในแวดวงนักศึกษา มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน ที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักคำสอน ของศาสนา ไม่สามารถเข้าไป ยืนหยัดปฏิบัติเป็นพลัง คุณงามความดีไดเลย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ ไม่มีพื้นฐาน เรื่องศีลธรรมมาก่อน สังคมนักศึกษา จึงหันหลังให้ศาสนา ความนึกคิด จึงเปิดเสรี เกินขอบเขต นักศึกษาหลายคน หลงไปกินเสพ ของมึนเมา และชอบมั่ว กามราคะกันหนัก จนผิดไปจากแนวทาง ของผู้ที่จะก้าวไป สู่ที่เจริญ หรือปัญญาชน ที่มีคุณค่า ในอนาคตได้ สมานรู้ว่าลูกชาย มีพื้นฐานของศาสนา อยู่ในหัวใจ เขาคงจะรอดพ้น จากอิทธิพล ค่านิยมเสรี ไร้สาระ ในปัจจุบันได้

 

 

                             (เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)

 

 

กินอยู่พักผ่อนพร้อมทำงานอย่างฉลาดแล้วใช้ชีวิตอยู่กับโลกอย่างไม่ประมาท

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

เรียนรู้ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด แล้วเราจะค้นพบความสุขจากซอกมุมของชีวิต เป็นความสุขรอบกายเรานี้เอง ไม่ต้องดิ้นรนไปเสาะหาอื่นไกล

ฉลาดกิน… โลกปัจจุบันทำคนให้โง่อย่างแนบเนียน เพื่อหลอกง่ายขึ้น โลกหลอกเราไปเสียทุกเรื่อง ยกตัวอย่าง การกิน ด้วยอำนาจของโฆษณา เราถูกหลอกให้ดื่มน้ำหวานเจือสีเคมี เพียงน้ำอัดลม ไร้คุณประโยชน์ ซ้ำให้โทษแก่ร่างกาย

อาหารอย่างชาติตะวันตกทั้งหลาย พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ ของพวกนี้ล้วนให้โทษต่อร่างกายในภายหลัง แต่เราก็ถูกหลอก ให้ชมชอบ การกินอย่างตะวันตก เพราะความโง่ทำให้คนก้าวไปสู่หายนะโดยไม่รู้ตัว

ทุกวันนี้อายุคนสั้นเข้าเรื่อยๆ เจ็บป่วยกันมาก เกลื่อนโรงพยาบาล เหตุส่วนหนึ่ง เพราะอาหารการกิน เต็มไปด้วยพิษภัย พืชผักผลไม้เคลือบแฝงสารเคมี แม้เนื้อสัตว์ก็ฉีดฮอร์โมน เร่งให้โตไวผิดปรกติ วิถีธรรมชาติ ถูกทำลายคนเป็นโรคมะเร็งตายก็มาก เพราะสารพิษ ในร่างกายมีมากเกิน จากการกินอาหาร ผ่านกระบวน การผลิต ด้วยวิทยาศาสตร์ คนจึงทุกข์อย่างสาหัสสากรรจ์

กินอยู่อย่างชาญฉลาด ชีวิตเราจะสุขมากกว่านี้…อย่าใช้ชีวิตเยี่ยงคำโฆษณา รู้จักเลือกสรรว่า สิ่งไหนให้ คุณประโยชน์ ต่อตัวเรา เลือกกินอย่างมีปัญญา อย่าสวาปามไปเสียทุกอย่าง ร่างกายเรา ต้องการเพียง วิตามิน และแร่ธาตุ ความฟุ่มเฟือยอย่างตะวันตกไม่จำเป็น กินอย่างไทยๆ ยืดวันตาย ได้ตั้งเยอะ กินอย่างเรียบง่ายสุขสบายหลายเท่าตัว

ใช้ชีวิตอยู่กับโลกอย่างไม่ประมาท……เราปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามกระแส โลกีย์ อย่างโง่งม จมอยู่กับทุกข์ โดยไม่รู้ตัว เหมือนคนป่วยร้ายแรงยังยินดีกินของแสลง หาได้สำนึกถึงความตายไม่

เพราะประมาทในวันวัย จึงไม่เห็นคุณของการมีชีวิต เราเที่ยวเสเพล เสพสุขไปวันๆ หลงโลกียารมณ์ ว่าเป็น สิ่งประเสริฐ ของชีวิต จึงประมาทในธรรมทั้งปวง เสมือนปิดประตูไปสู่สรวงสวรรค์ หันหลังให้กับ การหลุดพ้น วังวนแห่งทุกข์ปิดนัยน์ตาแห่งปัญญา ก้าวไปในอนาคตอย่างคนมืดบอด แล้วจากโลกนี้ไป อย่างเสียชาติเกิด

ความสุขเกิดขึ้นได้ง่าย เพียงรู้จักใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ศึกษาสัจธรรมให้เข้าถึงจิตวิญญาณ อย่าปล่อยให้สายธารแห่งกาลเวลาล่วงไปเปล่าประโยชน์ หมั่นสั่งสม กรรมดี ละทิ้งกรรมชั่ว

กรรมเท่านั้นเป็นทรัพย์แท้ของมนุษย์ ติดตามเราไปทุกภพชาติ ความอลังการทั้งปวง ล้วนถูกทิ้งไว้ กับโลก ในขณะที่ ความตาย จูงมือเราเดินไป มีแต่กรรมเท่านั้นอยู่กับเรา

ผู้ดำรงตนบนความประมาท มิอาจเข้าถึงสภาพแห่งการหลุดพ้น มิอาจค้นพบทาง ไปสู่พระนิพพาน และ ความสุขสงบ ได้ตายไปจากเขาแล้ว คงเหลือแต่ความทุกข์ระทม กับซากชีวิตที่ไร้คุณ ประโยชน์ ต่อโลกใบนี้…

ช้ชีวิตอยู่กับโลกอย่างไม่ประมาทเถิด นับเป็นความสุขสุดประเสริฐ ที่เราควรสำนึก อยู่ทุกลมหายใจ

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อเทอญ..เจริญธรรม

ประชาธิปไตยใหม่!!! นวัตกรรมวิเศษของโลก

                   ประชาธิปไตยใหม่..!!

                      นวัตกรรมวิเศษของโลก

 

   ประชาธิปัตย์ทั้ง                                    โลกา
ระบอบเก่าที่มีมา                                        ตราบนี้
ล้วนอยู่อย่างโลกิยา                                    ถ้วนทั่ว

ยังไม่ใช่สัจจะชี้                                         เรื่องแท้การเมือง

   การเมืองเรื่องรับใช้                                 เสียสละ
คนกิเลสน้อยจึงจะ                                      เหมาะ
แท้ 
เพราะไม่ใช้สมรรถนะ                                  แลกลาภ ยศเลย
อีกสุขสรรเสริญแล้                                      ลดแล้วตามธรรม
   นักบริหาร กรำกิจสู้                                 ทำงาน
นักบริการ แถมทาน                                   ถนัดให้
นักผลิต จิตบุญหาญ                                   หิตประโยชน์
นักบวช ชาวพุทธไซร้                                 ใช่แท้ นักการเมือง 
  การเมืองจักเจิดจ้า                                    ในไทย
เป็น
ประชาธิปไตย                                    ใหม่แท้ 
เกิดเศรษฐกิจเกินไกล                                  สาธารณโภค
โลกบ่เคยมีแม้                                           ชาตินี้คงเห็น
 เป็นประชาธิปัตย์                                       พร้อมปัญญา
เต็มจรณะวิชชา                                          พุทธแท้
สาราณิยะ ๖พา                                          สุข สู่สันติแล
วรรณะ ๙ มาแก้                                         ชาติไร้ปัญหา 
 เป็นประชาธิปัตย์
แท้                                   ใจหาญ
เพราะศึกษาวิญญาณ                                   พุทธ
แท้ 
ลดละโลกธรรมสาน                                    เสริมชาติ โชติเฮย
ไทยบ่มีวันแพ้                                            พุทธ
แท้ไทยพิชัย.

 

                        (สไมย์ จำปาแพง ๒ เม.ย. ๒๕๕๒ )

 

   มี คนมองกันว่า เพราะอาศัยความเป็นเด็กนอก ทำให้ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ตอบโต้นักข่าวต่างประเทศได้คล่องตัวกว่า อดีตท่านนายกฯ ทักษิณ ซึ่งกลายเป็นคนพูดอังกฤษ แบบติดอ่าง ตะกุกตะกัก เหมือนมีอะไรติดคอ จุดสำคัญคงไม่ใช่ได้เปรียบกันตรงที่ภาษา แต่น่าจะอยู่ที่ใครมีความจริงใจมากกว่ากัน? ใครทำเพื่อ "ให้" แก่บ้านเมือง หรือใครกำลังทำเพื่อ "เอา"จากบ้านเมืองต่างหาก? คนที่มีจิตที่คิดจะ"ให้"ย่อมตอบได้ชัดเจนกว่า มีน้ำหนักกว่า คนที่คิดจะ"เอา"อยู่แล้ว 

     และคงไม่มีการปราบจลาจลที่ไหนในโลกที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้ความอดทน อดกลั้นมากเท่านี้ เพื่อรักษาชีวิตประชาชน ซึ่งเป็นพี่น้องคนไทยด้วยกัน ปกติตามมาตรฐานสากลนั้น ถ้ากรูเข้ามาเพื่อทำร้ายผู้นำ ต้องยิงกันก่อนแล้ว คงไม่มีใครปล่อยให้เลขาธิการนายกฯโดนยำจนซี่โครงหัก
และตัวนายกฯเองเฉียดฉิวถึง ๒ ครั้ง ๒ หนด้วยกัน ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ยังจัดรถบัสส่งพี่น้องที่หลงผิดเหล่านี้กลับไปบ้านเรือนอย่างเรียบร้อย 
การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีนับเป็นชัยชนะของประเทศไทย ด้วยคุณธรรมที่ไม่โลภ-ไม่โกรธ-ไม่หลง ของทุกๆฝ่าย ทำให้ไทยพ้นเหตุการณ์นองเลือดมาได้หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่วิกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ เพียงแค่มีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ที่มีรากฐานมาจากคุณธรรม"สันโดษ" ในพระพุทธศาสนา เพียงเท่านี้ไทยก็รอดได้แล้ว 
     
ไทยน่าจะรุ่งเรืองไปได้ไกลกว่านี้ หากได้ศึกษาในพุทธแท้ๆ(โลกุตระ)ที่จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละและการทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองจริงๆ นั่นคือประชาธิปัตย์แท้ที่ทำให้ประชาชนได้พบกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตน หลุดพ้นจากอำนาจครอบงำใดๆเป็น"ไท-ไชโยๆ"

 


                      ขอบคุณข้อมูลจากน.ส.พ.
 เราคิดอะไร ฉบับประจำเดือน พฤษภาคม ๕๒

                                         ๐ คอลัมน์ นัยปก จาก จริงจัง ตามพ่อ ๐

 

 

 

กว่าจะถึงอรหันต์.. พระพักกุลเถระ

ปรุงยารักษาพระศาสดา
บุญนำพากุศลมหาศาล
แปดสิบปีไม่มีโรครุกราน
ปรินิพพานพ้นกรรมนิรันดร

 

 

แม้ในอดีตชาติของพระพักกุลเถระนี้ ก็สั่งสมบุญบารมีไว้แล้ว ตั้งแต่ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี

ในชาตินั้นเขาเกิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อเจริญวัยได้ศึกษาเรียนจบแล้ว
ไม่เล็งเห็น สาระในชีวิตฆราวาส จึงออกบวช เป็นฤาษี ด้วยคิดว่าจะแสวงหาบุญ
อันจะเป็นผลประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้า

บวชแล้วก็มีผู้คนมาสมัครเป็นศิษย์จำนวนมาก
โดยเหล่าศิษย์พากันสร้างอาศรมให้ ณ บริเวณภูเขาโสภิตะ ที่ไม่ไกล
จากภูเขาหิมพานต์นัก ทั้งอาจารย์กับลูกศิษย์จึงพำนักอยู่ที่อาศรมนั้น

วันหนึ่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงแสวงหาที่หลีกเร้นอันสงบสงัด
ได้เสด็จผ่านมาใกล้อาศรม พระฤาษี จึงออกไป เข้าเฝ้าพระองค์
ขณะนั้นเอง….โรคลมได้บังเกิดโดยฉับพลันกับพระพุทธเจ้า สร้างทุกขเวทนา
ขึ้นแก่พระองค์

พระฤาษีได้เห็นกิริยาอาการของพระองค์แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่า
โรคลมเกิดแก่พระพุทธเจ้าแล้ว จึงรีบนิมนต์ พระองค์ เข้าสู่อาศรม
แล้วปรึกษากับเหล่าศิษย์ว่า

"เราต้องการปรุงยา ถวายพระศาสดาโดยด่วน
เราจะรีบขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาปรุงยา ท่านทั้งหลาย ช่วยดูแล พระองค์ก่อน
และตระเตรียมสิ่งต่างๆ คอยเรากลับมา"

พระฤาษีรีบไปเก็บสมุนไพรทันที แล้วนำมาต้มรวมกัน
เสร็จแล้วก็รินน้ำยามาถวายพระพุทธเจ้า พอเสวยสักครู่หนึ่ง อาการโรคลม
ก็สงบลง หายเป็นปลิดทิ้ง

พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าจึงตรัสสรรเสริญพระฤาษี และได้พยากรณ์พระฤาษีไว้ว่า

"ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้ใดได้ถวายยาแก่เรา ให้ระงับโรคของเราได้
ผู้นั้นจะรื่นรมย์ จะบันเทิง อยู่ในเทวโลก (โลกของคนที่มีจิตใจสูง)
๑๐๐,๐๐๐ กัป จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ และไม่ว่าจะเป็นเทวดา
หรือ มนุษย์ ก็จะเป็นผู้ไม่มีความป่วยไข้
ไม่มีความเร่าร้อนจากความป่วยไข้เลย

เมื่อได้เกิดในกัปของพระศาสดานามว่า โคดม
จะได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดานั้น ได้ชื่อว่า พักกุละ จะเพ่งเพียร
เผากิเลสทั้งปวงได้หมดสิ้น เข้าถึงนิพพาน ข้ามพ้นกระแสตัณหาได้
และจะเป็นเลิศกว่าสาวก ทั้งหลาย ในการเป็นผู้มี อาพาธน้อย"

ครั้นได้สั่งสมบุญในการถวายยาแก่พระพุทธเจ้าในชาตินั้นแล้ว
ต่อๆมาในชาติอื่นได้เกิดเป็นผู้ดีมีสกุล ในกรุงหงสาวดี ได้พบเห็น
พระศาสดาองค์พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ให้ดำรงตำแหน่ง
เอตทัคคะ (ผู้ยอดเยี่ยม พิเศษ ในด้านใด ด้านหนึ่ง) ด้านผู้ที่มี อาพาธน้อย
ตนเองปรารถนาเช่นนั้นบ้าง จึงสั่งสมบุญกุศล จนตลอดชีวิต

เมื่อมาถึงชาติที่เกิดในสกุลพราหมณ์แห่งกรุงพันธุมดี ได้ออกบวชเป็นฤาษี
พอได้ สดับธรรมของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เทศนาแล้ว ก็ได้ตั้งอยู่ในสรณะ
(ยึดถือเป็นที่พึ่ง) คราวนั้นเอง… เมื่อภิกษุทั้งหลาย อาพาธ เพราะไข้ป่า
พระฤาษี ได้สะสม บุญบารมีด้วยการช่วยรักษาโรคนั้น ให้สงบลงได้

พอถึงในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า
ชาตินี้เขาได้กำเนิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล ในกรุงพาราณสี
ได้สร้างกุศลเอาไว้ โดยการซ่อมแซม และสร้างที่พักใหม่ แก่พระสงฆ์
ทั้งยังสร้างโรงอุโบสถ ปรุงยาต่างๆ ถวายการรักษา แก่พระสงฆ์ อีกด้วย
ได้สั่งสมบุญบารมีเอาไว้ จนสิ้นอายุขัย

มาถึงยุคของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม
เขาได้เกิดอยู่ในตระกูลเศรษฐีแห่งกรุงโกสัมพี ตอนที่ยังเป็น ทารก อ่อน
ตัวน้อยๆอยู่นั้น พี่เลี้ยงนำไปอาบน้ำที่แม่น้ำยมุนา
ได้ปรากฏสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น มีปลายักษ์ตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นฮุบ ทารกน้อย
จากมือของนาง แล้วกลืนลงไปในท้องทันที จากนั้นก็แหวกว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่ปลายักษ์ มาถูก ชาวประมง จับได้ที่แถวกรุงพาราณสี และถูกภรรยาเศรษฐี
ของกรุงพาราณสี ซื้อปลายักษ์ ตัวนั้นไว้ ครั้นปลา ถูกผ่าท้อง
เพื่อนำมาทำเป็นอาหาร ก็พบทารกน้อยนั้น ยังมีชีวิตอยู่ ภรรยาของเศรษฐี
จึงเลี้ยงดูไว้เป็นบุตร ที่รักของตน

ครั้นมารดาแท้จริง ได้ทราบข่าวนี้แล้ว จึงไปขอบุตรของตนคืน
แต่ตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดต้องให้พระราชา ทรงตัดสินคดี พระองค์ทรงเห็นว่า
เด็กทารกนี้เป็นผู้มีบุญ น่าอัศจรรย์นัก จึงให้ทารกเป็นทายาท
ของทั้งสองตระกูล ได้นามว่า พักกุละ (คนสองตระกูล) ดังนั้น เมื่อเจริญวัย
เติบโตแล้ว จึงได้รับมรดก มากมายถึง ๘๐ โกฏิ (๘๐๐ ล้าน)

เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี……วันหนึ่ง
ได้สดับพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บังเกิดศรัทธาแรงกล้า
ได้สละทรัพย์ ทั้งหมดทั้งปวงเสียสิ้น บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา
พระพักกุละต่อสู้กับกิเลสตน อาศัยฉัน บิณฑบาต ของชาวบ้านเพียง ๗
วันเท่านั้น รุ่งขึ้นวันที่ ๘ ก็ได้สำเร็จมรรคผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ในโลกแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง พระพักกุลเถระ อยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน มีปริพาชก
(นักบวชพวกหนึ่ง) ชื่อ อเจลกัสสป ซึ่งเคยเป็นสหาย ของพระพักกุลเถระ
ได้มาเยี่ยมเยียนสนทนาด้วย

"ข้าแต่ท่านพักกุละ ท่านบวชมานานเท่าไรแล้วหรือนี่"

"เราบวชมาได้ ๘๐ พรรษาแล้ว"

"ก็แล้วตลอด ๘๐ พรรษานี้ ท่านเคยเสพเมถุนธรรม (การกระทำของคนคู่คือสังวาส) กี่ครั้งแล้ว"

พระพักกุลเถระรีบห้ามปรามทันทีว่า
"ดูก่อนกัสสปผู้มีอายุ
ท่านไม่ควรถามเราอย่างนั้นเลย แต่ควรถามเราอย่างนี้ว่า ตลอด ๘๐ พรรษานี้
กามสัญญา (ความทรงจำถึงเรื่องของกาม) เคยเกิดขึ้นแก่เรากี่ครั้ง
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อเราบวชมาตลอด ๘๐ พรรษา ไม่รู้สึก กามสัญญา
เคยเกิดขึ้นเลย"

"ข้อที่ท่านพักกุละไม่รู้สึกกามสัญญาเคยเกิดขึ้นเลย ตลอด ๘๐ พรรษา
ข้าพเจ้าจะทรงจำไว้ว่า เป็นธรรม ไม่น่าเป็น ไปได้ น่าอัศจรรย์นัก"

"ดูก่อนผู้มีอายุ แม้ตลอด ๘๐ พรรษานี้ เราก็ไม่รู้สึกพยาบาทสัญญา (ความทรงจำถึงเรื่องการคิดร้าย) เคยเกิดขึ้นเลย

แม้วิหิงสาสัญญา (ความทรงจำถึงเรื่องการเบียดเบียน) ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แม้กามวิตก (ครุ่นคิดตรึก ไปในกาม) ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แม้พยาบาทวิตก (ครุ่นคิดตรึกไปในการคิดร้าย) ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แม้วิหิงสาวิตก (ครุ่นคิดตรึกไปในการเบียดเบียน) ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แม้ความรู้สึกยินดีในคหบดีจีวร (ผ้าจีวรที่ชาวบ้านถวาย) ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เราไม่รู้จักแม้การใช้มีดตัดจีวร
เราไม่รู้จักแม้การใช้เข็มเย็บจีวร
เราไม่รู้จักแม้การย้อมจีวร
เราไม่รู้จักแม้การเย็บจีวรที่ไม้สะดึง
เราไม่รู้จักแม้การจัดทำจีวรของเพื่อนพรหมจารี
เราไม่รู้สึกยินดีแม้ในกิจนิมนต์
เราไม่เคยแม้ขอใครๆให้นิมนต์เรา
เราไม่รู้จักแม้การนั่งในละแวกบ้าน
เราไม่รู้จักแม้การฉันในละแวกบ้าน
เราไม่รู้จักแม้การมองดูรูปทรงองค์เอวของมาตุคาม
เราไม่รู้จักแม้การแสดงธรรมคาถาแค่ ๔ บาทแก่มาตุคาม
เราไม่รู้จักแม้การเข้าไปสู่สำนักของภิกษุณี
เราไม่รู้จักแม้การแสดงธรรมแก่ภิกษุณี
เราไม่รู้จักแม้การแสดงธรรมแก่สิกขมานา
เราไม่รู้จักแม้การแสดงธรรมแก่สามเณรี
เราไม่รู้จักแม้การให้บรรพชา
เราไม่รู้จักแม้การให้อุปสมบท
เราไม่รู้จักแม้การให้นิสสัย (ให้เป็นที่พึ่ง)
เราไม่รู้จักแม้การใช้สามเณรเป็นอุปัฏฐาก (ดูแลรับใช้)
เราไม่รู้จักแม้การอบในเรือนไฟ (เรือนอบยา)
เราไม่รู้จักแม้การใช้จุรณ (ผงขัดตัว)สรงน้ำ
เราไม่รู้จักยินดีแม้การนวดฟั้นของเพื่อนพรหมจารี
เราไม่รู้จักอาพาธแม้ในเวลาเพียงแค่รีดนมโคเสร็จ
เราไม่รู้จักฉันยาแม้แค่เท่าชิ้นสมอ
เราไม่รู้จักแม้การนั่งพิงพนัก
เราไม่รู้จักแม้การล้มตัวลงนอน
เราไม่รู้จักแม้การจำพรรษาในสถานที่ใกล้เขตบ้าน
เราบวชพ้น ๗ วันเท่านั้น ก็ได้เป็นพระอรหันต์"

เมื่ออเจลกัสสปปริพาชกได้ฟังคำประกาศของพระพักกุลเถระอย่างนี้แล้ว อดที่จะอุทานไม่ได้ ด้วยศรัทธา อย่างยิ่งว่า
"ข้าแต่ท่านพักกุละ ที่ท่านกล่าวมาให้ฟังเหล่านี้ ช่างน่าอัศจรรย์นัก
เป็นธรรมที่ไม่น่าเป็นไปได้ ขอข้าพเจ้า พึงได้ บรรพชา อุปสมบท
ในพระธรรมวินัยนี้ด้วยเถิด"

เมื่อได้บวชแล้วไม่นาน พระอเจลกัสสปก็บำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้ว

เวลาต่อมา เมื่อถึงวันสุดท้ายที่จะปรินิพพาน พระพักกุลเถระได้ไปยังวิหารทุกๆหลัง แล้วประกาศว่า
"นิมนต์ท่านผู้มีอายุทั้งหลายออกมาเถิด วันนี้จะเป็นวันปรินิพพานของเราแล้ว"

เมื่อภิกษุทั้งหลายออกมาประชุมร่วมกัน พระพักกุลเถระก็นั่งปรินิพพานอยู่ในท่ามกลางหมู่สงฆ์นั้นเอง

นับอายุ ที่อยู่ในเพศฆราวาสได้ ๘๐ ปี
และบวชจนกระทั่งถึงปรินิพพานอีก ๘๐ พรรษา รวมแล้ว พระพักกุลเถระ
มีอายุยืนยาว ถึง ๑๖๐ ปีทีเดียว

– ณวมพุทธ –
(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๓๘๐ พระไตรปิฎกเล่ม ๓๒ ข้อ ๓๙๘ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๑ หน้า ๒๔๑)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๗ เมษายน ๒๕๔๕)

 

กว่าจะถึงอรหันต์…พระปฏาจาราเถรี

ทั้งพ่อแม่       พี่ชาย          ล้วนตายจาก
ลูกโดนพราก  ผัวสิ้น          ใจสลาย
ทุกข์จนบ้า     ผ้าไม่นุ่ง       ไร้ความอาย
ฟื้นคืนคลาย   หายเพราะ     พุทธองค์

พระปฏาจาราเถรี

 

ในอดีตชาติหนึ่งของพระปฏาจาราเถรีนั้น เคยเกิดในตระกูลเศรษฐี
ที่เจริญรุ่งเรือง ด้วยทรัพย์สิน เงินทองมากมาย ภายในเมืองหงสวดี
จึงเป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วย ความสุขสบายอย่างมาก

คราวนั้นเป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติ ขึ้นแล้ว

มีอยู่วันหนึ่ง นางได้ไปเข้าเฝ้าพระปทุมุตรพุทธเจ้า
ได้ฟังธรรมเทศนาจากพระองค์แล้ว ก็บังเกิด ความเลื่อมใสยิ่งนัก จึงประกาศ
ถือเอาพระพุทธองค์ เป็นสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึกถึง)

วันนั้นเอง พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ภิกษุณีรูปหนึ่ง
ซึ่งเป็นผู้มีความละอายต่อบาป (หิริ) เป็นเยี่ยม เป็นผู้ตั้งมั่นคงที่แล้ว
ฉลาดคล่องแคล่ว ในกิจที่ควร และไม่ควร ว่าเป็นผู้เลิศยอด ในการทรงวินัย
(เคร่งครัด ในข้อห้าม ข้อบังคับ) ยิ่งกว่า ภิกษุณีทั้งหลาย

ด้วยการพบเห็นเช่นนั้น นางบังเกิดจิตยินดี ปรารถนาตำแหน่งอย่างนั้นบ้าง
จึงมุ่งสั่งสม บุญบารมี เอาไว้ให้มาก โดยนิมนต์ พระพุทธเจ้า
พร้อมด้วยหมู่สงฆ์ ถวายภัตตาหาร ให้ฉันตลอด ๗ วัน

และในวันสุดท้าย เมื่อนางถวายวัตถุทาน อันได้แก่บาตรและจีวรแล้ว
ได้ซบศีรษะลงที่พื้น ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระพุทธองค์ แล้วกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เป็นนายก(ผู้นำ)ของโลก พระองค์ทรงสรรเสริญ
ภิกษุณีใด ไว้ในตำแหน่ง ผู้ทรงวินัยอันประเสริฐ ถ้าตำแหน่งนั้น
จะสำเร็จแก่หม่อมฉันบ้าง หม่อมฉันตั้งใจมั่น (อธิษฐาน) จะเป็นเช่น
ภิกษุณีนั้น "

พระปทุมุตรพุทธเจ้าได้ตรัสกับนางว่า "นางผู้เจริญ อย่าหวั่นใจเลย
จงเบาใจเถิด นางจะได้ตำแหน่งนั้น ในอนาคต นับจากนี้ไป อีกแสนกัป (หนึ่งกัป
= โลกวอดวาย หนึ่งครั้ง) จะมีพระศาสดา พระนามว่า โคดม
เสด็จอุบัติขึ้นในโลก นางจะได้เป็นภิกษุณี ธรรมทายาท ของพระศาสดา
พระองค์นั้น โดยมีนามว่า ปฏาจารา "

ได้ฟังเช่นนั้น นางยิ่งเกิดศรัทธา มีใจเบิกบานยินดีอย่างยิ่ง
ตั้งจิตประกอบด้วย เมตตาธรรม บำรุงแด่พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ จนตลอดชีวิต

ด้วยกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว นางจึงเวียนว่ายตายเกิดเป็นเทวดา
(ผู้มีจิตใจสูง) อยู่ในสวรรค์ (สภาวะสุข ของผู้มีจิตใจสูง) ชั้นดาวดึงส์
(สวรรค์ชั้นที่ ๒ จากทั้งหมด ๖ ชั้น)

กระทั่งได้เกิดเป็นมนุษย์ (ผู้มีใจประเสริฐ) ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า กัสสปะ ผู้มีสาวกมากมาย ประเสริฐกว่า พวกบัณฑิตทั้งหลาย

คราวนั้นนางได้นามว่า ภิกษุณี เป็นพระธิดาองค์ที่ ๓ ของพระเจ้ากิกี
ผู้เป็นใหญ่ ในแคว้นกาสี ครองราชย์ ในพระนครพาราณสี อันอุดมสมบูรณ์
และพระองค์ ทรงเป็นอุปัฏฐาก (ผู้บำรุงดูแล) ของพระศาสดาด้วย

พระนางภิกษุณี จึงมีโอกาสได้ฟังธรรม ของพระพุทธองค์เสมอๆ
กระทั่งเกิดจิตยินดี พอใจจะบรรพชา แต่พระราชบิดา มิได้ทรงอนุญาต
พระนางจึงถือ ประพฤติพรหมจรรย์ ตลอดชีวิต เพลิดเพลินอยู่ด้วย
การอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย

ก็ด้วยกรรมดีและการตั้งจิตไว้มั่น นางได้เวียนว่าย ตายเกิดในสวรรค์
จนถึงที่สุด ของชาติสุดท้าย ของนาง เป็นยุคสมัยของ พระพุทธเจ้า
องค์สมณโคดม นางได้เกิด อยู่ใน ตระกูลเศรษฐี ที่มั่งคั่ง
มีทรัพย์มหาศาลในพระนครสาวัตถี ใช้ชีวิต อย่างสุขสบาย ได้ตามอำเภอใจ

ครั้นเติบโตเป็นสาว นางปฏาจารา ได้พบปะรักใคร่ หนุ่มชนบท
ที่ยากจนคนหนึ่ง ตกอยู่ในอำนาจ ของความรัก (กามราคะ) กลุ้มรุม
จึงได้แอบหนี ไปอยู่กินกับเขา ในชนบทที่ห่างไกล

ทั้งสองช่วยกัน ทำมาหากิน นางปฏาจารา ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเหนื่อยยาก
เพราะชีวิต ไม่เคยลำบาก มาก่อน จนกระทั่ง นางตั้งท้อง ครั้นเมื่อท้องแก่
นางเกิดความหวาดหวั่น ในการคลอดลูก ปรารถนาจะไปหา มารดาของตน
ได้ครุ่นคิดในใจว่า "เราน่าจะกลับไป เยี่ยมเยียน บิดามารดาบ้าง"
นางจึงเอ่ยปาก ขอให้สามีช่วยพาไป แต่สามีของนาง ก็มักจะพูด
ผัดเพี้ยนเสมอว่า "เดี๋ยววันนี้จะไป " "พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ"

ทำให้นางคิดว่า สามีไม่ยอมพาไปเป็นแน่ ดังนั้น
เมื่อสามีออกไปนอกบ้านแล้ว นางจึงพกสัมภาระ ที่จำเป็นติดตัว บอกคนคุ้นเคย
ข้างบ้านไว้ ว่าช่วยบอกสามี ของนางด้วย นางจะกลับไปเยี่ยม บิดามารดา
แล้วออกเดินทางไปทันที ฝ่ายสามี พอกลับมาบ้าน ไม่พบภรรยา ก็ตกใจ
รีบไถ่ถามผู้คน จนทราบเรื่อง จึงได้สติ ตำหนิตัวเองว่า "เพราะเราผิดเองโดยแท้"
จึงออกติดตามไปโดยเร็ว ไปทันกัน ในระหว่างทาง เป็นเวลาที่นางปฏาจารา
ซึ่งท้องแก่ เกิดเจ็บท้องขึ้นมาพอดี จึงได้คลอดลูก ณ ที่นั้นเอง

เมื่อคลอดลูกแล้ว นางก็หมดความขวนขวายที่จะไปเยี่ยมบิดามารดา สามีจึงพานางกับลูก เดินทางกลับ ไปยังบ้านของตน

อยู่ต่อมา จน กระทั่ง นางตั้งท้องลูกคนที่สอง เมื่อท้องแก่แล้ว
ก็ปรารถนา ที่จะไปคลอดลูก ยังบ้านของ บิดามารดาอีก คราวนี้
นางมิได้บอกสามีเลย แต่พอสามีของนาง เข้าไปป่า นางจึงฝาก บอกเพื่อนบ้านไว้
แล้วพาลูกชายคนแรก ออกจากบ้าน เดินทางไปยัง พระนครสาวัตถี เพียงสองคน
แม่ลูกเท่านั้น

กว่าสามีของนางจะรับรู้ข่าว กว่าจะติดตาม ไปทัน ในระหว่างทาง
ก็เป็นเวลาเดียวกับ เมฆฝน หมู่ใหญ่ ดำครึ้มเต็มท้องฟ้า แล้วห่าฝน ก็ตกลงมา
ไม่ขาดสาย สายฟ้าก็แลบ แปลบปลาบ ไปรอบๆบริเวณ ตามด้วยเสียงฟ้าคำราม
ดังสนั่นหวั่นไหว

ขณะนั้นเอง ลมกรรมชวาต (ลมแห่งเวลาคลอดลูก)
ได้ปั่นป่วนบังเกิดแก่นางปฏาจารา ทำให้นางเจ็บปวดท้อง สุดที่จะทนได้
รีบร้องบอกกับสามีว่า "พี่จ๋า ช่วยทำที่กำบังฝน ให้ฉันหน่อยเถิด ฉันกำลังจะคลอดลูก ของเราแล้ว" สามี
ของนางจึงรีบหาดูที่ทาง ครั้นพบพุ่มไม้แห่งหนึ่ง เหมาะเป็นที่
กำบังฝนได้บ้าง จึงตรงเข้าไป จัดเตรียมพุ่มไม้นั้น แต่ทันใด…
ก็ปรากฏงูพิษร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งหลบอยู่ในที่นั้น ฉกกัดเขาในทันที เขาล้มลง
นอนตาย อยู่ที่ตรงนั้นเอง

ฝ่ายนางปฏาจารา ซึ่งกำลังทุกข์หนัก รอคอยสามีหาที่กำบังให้ ในที่สุด
ก็คลอดลูกน้อยออกมา แล้วโอบลูกน้อย ที่ร้องไห้จ้าไว้แนบอก
และอาศัยร่างของตน เป็นที่กำบังฝน ให้แก่ลูกอีกคนด้วย นางพยายามปกป้อง
คุ้มครองลูกทั้งสอง ทนลมทนฝน อยู่ตลอดทั้งคืน

เช้ารุ่งขึ้น……ฟ้าสว่างแล้ว ฝนหยุดตก นางกล่าวกับลูกคนโตว่า "ลูกแม่ พ่อของเจ้า เดินไปทางนั้น เราตามไปหา พ่อเจ้าด้วยกัน" นางไปตามทิศทางนั้น ครั้นได้พบสามี นอนตาย อยู่ที่พุ่มไม้ จึงร้องไห้เสียใจ คร่ำครวญว่า "เพราะฉันทีเดียว ทำให้พี่ต้องตาย "

เมื่อหมดที่พึ่ง เสมือนเป็นคนกำพร้า จึงหวังที่จะเดินทางไปหา บิดามารดา
นางจูงลูกคนโต และอุ้มลูกคนเล็ก เดินไปจนถึง แม่น้ำน้อยแห่งหนึ่ง
ซึ่งน้ำเชี่ยว ลึกประมาณเอวของนาง จึงตัดสินใจ พาเอาลูกน้อย
ข้ามไปฝั่งโน้นก่อน ให้ลูกคนโต รออยู่ฝั่งนี้ พอไปถึงฝั่งโน้น
นางให้ลูกน้อยกินนม แล้ววางลูกไว้ ที่ริมฝั่ง ตัวเองฝ่ากระแสน้ำเชี่ยว
หมายกลับมา รับลูกคนโต

ขณะที่นางอยู่กลางแม่น้ำนั้นเอง มีเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่ง
บินหากินอยู่แถวนั้น พอเห็นเด็กอ่อน นอนอยู่ริมฝั่ง เป็นเสมือน
ชิ้นเนื้ออันโอชะ มันจึงโผบินลง โฉบเหยื่อทันที นางปฏาจารา เหลียวมอง
เห็นเช่นนั้น ด้วยความตกใจ และไม่รู้จะช่วยลูกน้อย ได้อย่างไร
นางจึงร้องตะโกนไล่เหยี่ยว ด้วยเสียงดัง สุดชีวิตของนาง พร้อมทั้งหันกลับ
เดินลุยน้ำกลับไป และชูมือขึ้น กวัดแกว่งไล่เหยี่ยว ปากก็ส่งเสียงร้อง
ตลอดเวลา

ลูกคนโตที่คอยอยู่ เห็นแม่ยกมือส่งเสียงดัง แล้วหันกลับไปฝั่งโน้น
ก็เข้าใจผิดคิดว่า "แม่คงเรียก ให้ข้ามน้ำตามแม่ไป"
จึงก้าวลงแม่น้ำตามไปทันที ตอนนั้นเอง เหยี่ยวก็ใช้กรงเล็บ อันแหลมคม
ขยุ้มตัวลูกน้อย จนร้องไห้จ้า แล้วเอาบินหนี ไปในอากาศ
โดยที่นางไปยังไม่ถึง ฝั่งโน้นเลย ทำให้นางเศร้าโศก เสียใจใหญ่
ครั้นได้สติ คิดถึงลูกคนโตขึ้นมาได้ รีบหันกลับไปมองดู ก็พบเห็นว่า
ลูกชายคนโต กำลังถูกกระแสน้ำเชี่ยว ภายหลังฝนตกหนัก พัดพาจมหายไป
กับสายน้ำแล้ว

สุดแสนเศร้าใจนัก นางหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เหลือสายใยชีวิต
เพียงสายเดียว คือ หวังอาศัย บิดามารดา เป็นที่ปลอบใจเท่านั้น
จึงเดินทางต่อไป ยังพระนครสาวัตถี

พอไปถึง… ก็ได้รับข่าวร้ายว่า "ทั้งเศรษฐีกับภรรยา
และบุตรชายของเศรษฐี ทั้งสามคน ประสบอุบัติเหตุ เพราะคืนที่ฝนตกหนัก
มีพายุฝนรุนแรง พัดเรือนหลังหนึ่ง พังล้มลง พอดีทับถูกคนทั้ง ๓
ถึงแก่ความตาย ได้ถูกนำไปเผา ที่เชิงตะกอนเดียวกัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว"

นางปฏาจาราแทบล้มทั้งยืน ถึงกับใจแหลกสลาย อัดแน่นเปี่ยมล้น
ด้วยความเศร้าโศก มหาศาล ในใจมีแต่ครุ่นคิดว่า "ลูกสองคน ของเราตายแล้ว
ผัวของเราก็ตาย พ่อแม่พี่ชาย ของเราก็ตาย ทุกคนตายกันหมดสิ้น แล้วเราเล่า
ทำไมยังไม่ตาย"

นางเริ่มสับสนเสียสติ ด้วยความเสียใจสุดขีดนั้นเอง
ทำให้ไม่ค่อยได้กินได้นอน จนร่างกาย ซูบผอม ตัวเหลืองซีด ตรอมใจ
ไร้ที่พึ่งพิง เป็นคนบ้า ผ้าไม่นุ่ง เที่ยวเดินไป ทั่วพระนคร
บางคนพบนางแล้ว ก็ขับไล่ บางคนก็โยนขยะใส่ บางคนก็ขว้าง ด้วยดิน หิน
ท่อนไม้

วันหนึ่ง นางปฏาจารา ได้เดินเข้ามายังพระวิหาร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรมอยู่ ผู้คนจึงพากันกล่าวว่า "อย่าให้หญิงบ้า เข้ามาที่นี่ "

แต่พระศาสดา ตรัสห้ามว่า "อย่าห้ามนางเลย ให้นางเข้ามาเถิด"

เมื่อนางเข้ามา ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลนัก พระศาสดาทรงเรียกสติของนาง ให้กลับคืนทันที

"เจ้าจงมีสติเถิด อย่าโศกเศร้าถึงบุตร สามี บิดามารดา
พี่ชายที่ตายไปแล้วเลย จงเบาใจ จงแสวงหา ตัวของตัวเองเถิด
เจ้าทุกข์เดือดร้อนไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ว่าเครือญาติ
หรือใครๆ ก็ไม่อาจห้ามกั้น ความตายได้เลยว่า อย่าเกิดขึ้น
กับผู้ที่ถึงที่ตาย

ดูก่อนปฏาจารา น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ยังมีปริมาณน้อย
น้ำตาจากความเศร้าโศก ของคนที่ถูกทุกข์ กระทบแล้วนั้น มีปริมาณมากกว่า
น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เสียอีก ฉะนั้น เหตุใด เจ้าจึงยังประมาท อยู่เล่า"

พระศาสดาตรัสถึง ความเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับทุกข์ ที่ควรจะเบื่อหน่าย
หาที่สุดจบให้ได้ ทำให้ความโศกของนาง ทุเลาลง ได้สติขึ้นมาทันที พระศาสดา
เห็นเป็นโอกาสดีแล้ว จึงทรงแสดงธรรมอีกว่า

"สัจจะ(ความจริง) ธรรมะ(ความดี) อหิงสา(การไม่เบียดเบียนทำร้าย)
สัญญมะ (การสำรวมในศีล) ทมะ (การฝึกข่มกิเลสในใจ) มีอยู่ในผู้ใด
พระอริยะทั้งหลาย ย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็น อมตธรรม (ธรรมที่ไม่ตาย
คือพระนิพพาน) ในโลก บัณฑิตรู้ใจความข้อนี้แล้ว ย่อมสำรวมในศีล
รีบเร่งชำระทาง ไปพระนิพพาน (ดับกิเลส สิ้นเกลี้ยง) ทีเดียว"


นางตั้งจิตพิจารณาไปตามธรรม ของพระศาสดา พอได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นจบ
ก็ได้บรรลุธรรม ตั้งอยู่ในฐานะ ของพระโสดาบันทันที จึงทูลขอบรรพชา
กับพระศาสดา

ครั้นบวชแล้วไม่นาน แม้จะพยายามบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก
ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ทำให้ปฏาจาราภิกษุณี คิดขึ้นว่า
"ชาวนาทั้งหลาย ไถนาด้วยไถ หว่านพืชลง บนผืนดิน หาทรัพย์
เลี้ยงบุตรภรรยาได้ ก็แล้วเรา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ทำตามคำสั่งสอน
ของพระศาสดา ไม่เกียจคร้าน ไม่มีใจฟุ้งซ่าน เหตุใด จึงยังไม่อาจบรรลุ
พระนิพพานได้"

คืนหนึ่ง ขณะที่กำลังตักน้ำมาล้างเท้า ปฏาจาราภิกษุณี เห็นน้ำล้างเท้า
ไหลจากที่สูงลง สู่ที่ต่ำ คือจากฝ่าเท้า ลงไปสู่พื้นดิน แล้วซึมหายไป
แม้จะตักมาล้าง เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ก็ตาม น้ำก็ยังคงซึมหายไป
เช่นเดิม จึงได้ยึดน้ำนั่นแหละ เป็นนิมิต (เหตุ) ทำจิตให้เป็นสมาธิ
(ตั้งมั่น) กำหนดวัยทั้ง ๓ เปรียบเสมือน น้ำที่ล้างเท้า ทั้ง ๓ ครั้งนั้น
คือสัตว์โลกทั้งปวง แม้ปฐมวัย (อายุ ๑-๓๓ ปี) ก็มีตาย แม้มัชฌิมวัย (อายุ
๓๔-๖๗ ปี) ก็มีตาย แม้ปัจฉิมวัย (อายุ ๖๘ ปีขึ้นไป) ก็ต้องตาย สัตว์โลก
ล้วนมีความตาย เป็นของธรรมดา

พิจารณาธรรมเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดปัญญา จึงได้ถือตะเกียง เข้าไปยังวิหาร
ตรวจดูที่นอน แล้วขึ้นบนเตียง จับเข็มหมุนไส้ตะเกียงลง พอไฟดับ
ความหลุดพ้นแห่งใจ ได้มีแล้ว ได้บรรลุ อรหัตผลแล้ว

พระปฏาจาราเถรีเ ป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ และทิพยโสต (หูทิพย์
คือฟังเสียงกิเลสออก) รู้ในเจโตปริยญาณ (รู้ใจที่เป็นกิเลสอื่นๆได้)
รู้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (ระลึกชาติได้) ชำระทิพพจักขุ ( ตาทิพย์ คือ
มองทะลุ กิเลสได้) ให้บริสุทธิ์ ทำอาสวะ (กิเลส) ทั้งปวงสิ้นไปแล้ว
เป็นผู้บริสุทธิ์ หมดมลทินด้วยดี

ต่อมา พระปฏาจาราเถรี ได้หมั่นเพียรศึกษาวินัยทั้งปวง ที่พระศาสดา
ทรงบัญญัติไว้ สามารถทรงจำ และกล่าวอ้างวินัย ได้กว้างขวาง ได้อย่างชัดเจน
ตรงตามจริง กระทั่งพระศาสดา ทรงพอพระทัย ในคุณสมบัตินั้น
จึงทรงแต่งตั้งไว้ ในตำแหน่ง เอตทัคคะ (ผู้ยอดเยี่ยมในธรรม
ด้านใดด้านหนึ่ง) ว่า

"ปฏาจาราภิกษุณีผู้เดียวนี้ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในด้านความเป็นผู้ทรงวินัย"

ณวมพุทธ จันทร์ ๗ พ.ค. ๒๕๔๔ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๔๔๘ พระไตรปิฎกเล่ม ๓๓ ข้อ ๑๖๐ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๔ หน้า ๑๘๓)

 

 

อาหารมังสวิรัติกับพระพุทธศาสนา

 

 

ใน พระสูตรของพุทธศาสนามหายาน เล่าว่า"
.."สมัยหนึ่ง..องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย
พระองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า..

 


"
บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์
อีกทั้งยังชี้นำส่งเสรืมให้หมู่ชนทั้งหลาย หยุดฆ่า
หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น
บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวงและพร้อมบริบูรณ์ด้วยอานิสงส์
(ประโยชน์ที่พึงมีพึงได้)ทั้ง๑๐ ประการได้แก่..

๑.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ(ผู้มีใจสูง) พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย.

๒.จิตอันเป็นเมตตา

ย่อมบังเกิดขึ้น.
๓.สามารถตัดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้.

๔.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียน ร่างกาย.

๕.มีอายุมั่นขัวญยืน.

๖.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด.

๗.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งดีงามเป็นศิริมงคล.

๘.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน.

๙.สามารถดำรงอยู่ในกระแสนิพพานไม่พลัดหลง ตกลงสู่อบายภูมิ.

๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้จิตวิญญาณจะมุ่งสู่คติภพ."
อาตมาฉันอาหารมังวิรัติมาได้๙ปีติดต่อกันได้บทสรุปที่แน่นอนให้แก่ตัวเองว่า
"อาหารมังสวิรัตให้ผลดีเห็นได้ชัดคือ.๑เรื่องเศรษฐกิจเพราะพืชผักผลไม้ข้าว
ถั่วงาราคาไม่แพงเหมือนเนื้อสัตว์.๒เรื่องสุขภาพดีแข็งแรงทำงานได้ทั้งวัน
ไม่มีปํญหาใดๆ.๓จิตใจและอารมณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีความรักความ
ปรารถนาดีต่อผู้อืนยิ่งๆขึ้น.ฉนั้นอาหารมังสวิรัติจึงมีประโยชน์ทั้งทางโลก
และทางธรรมอย่างยิ่ง.

 

 

การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง

สำนึกดี จิตสาธารณะ จิตอาริยะ

ในพระธรรมบทพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ สพพทานํ ธมมทานํ ชินาติ ธรรมทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง แล้วอย่างไรบ้างจึงเรียกว่า “ธรรมทาน”

ทานกุศลแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ 1. อามิสทาน 2.ธรรมทานและอภัยทาน

อย่างไรจึงเรียกว่า ธรรมทาน ?

ปฏิบัติ ธรรมเองเพื่อชำระกิเลสออกจากกาย วาจา ใจของตนเอง ตั้งตนอยู่ในคุณความดี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เรียกว่าแจกธรรมะ ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่ดำเนินชีวิตประจำวันพูดแต่คำพูดไม่ดี ทำแต่กรรมที่ไม่ดี คิดแต่ความคิดที่ไม่ดีมาตลอด ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างที่เลวแก่ผู้อื่น ชื่อว่าแจกอธรรม

ธรรมทาน ต้องปฏิบัติเองเพื่อละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส เพื่อชำระกิเลสหยาบ กลาง และละเอียดๆ ยิ่งๆขึ้นไปถึงวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์แห่งใจ แล้วจึงจะพบสันติสงบ และจะถึงนิพพานคือความดับกิเลสไม่มีเหลือ

จะถึงนิพพานต้องเป็นลำดับจนถึงที่สุดอย่างถาวรนี่เรี ยกว่าธรรมทาน

เบื้อง ต้นเป็น ปฐมคือทำความดี ละชั่ว ทำใจให้ใสเองทั้งหมด และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น แล้วยังให้การแนะนำสั่งสอนอบรมผู้อื่น ให้ประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรม พระวินัย และสนับสนุนอุปการะแก่ความประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอ บเช่นนั้นของบุคค หรือคณะบุคคล ผู้ที่กำลังเพียรประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อชำระกิเลสแห ่งทุกข์นั้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ตรงนี้ก็ยิ่งด้วยธรรมทานไปอีก

อย่างไรเรียก อภัยทาน ?

ก็ เมื่อบุคคลเจริญธรรมขึ้นด้วยทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เพื่อละชั่ว ทำดี ฝึกอบรมจิตใจให้ผ่องใสและอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ยิ่งข ึ้นเพียงใด ความเข้าใจ ความซึ้งใจในบาปบุญคุณโทษก็เจริญมากขึ้น

และพรหมวิหาร ธรรมอันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เจริญขึ้นเป็นบุญบารมี เป็นเมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมียิ่งขึ้นเพียงนั้น

ความเห็นอกเห็นใจเข้าใจในความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ของสัตว์โลกผู้ยังมีจักษุอันมืดบอดด้วยความหลงผิด จึงคิดผิด พูดผิด ทำผิดๆ ในเราก็มีมากขึ้น ความรักปรารถนาให้สัตว์โลกเป็นสุขด้วยเมตตาพรหมวิหาร ธรรม และความเวทนาสงสารปรารถนาให้สัตว์โลกให้พ้นจากความทุ กข์ด้วยกรุณา พรหมวิหารธรรม แม้จะถูกกร้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน และถูกก่อกรรมทำเข็ญแก่ตนมาแล้วมาก จากทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเพียงใด ย่อมไม่ติดใจโกรธพยาบาทยิ่งขึ้น และสามารถอดทน อดกลั้นต่อความก้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน ความเบียดเบียนจากสัตว์โลกทั้งหลายผู้ล่วงเกิน และผู้เบียดเบียนโดยรอบทั้งหลายเหล่านั้น ได้มากขึ้นเพียงนั้น จนถึงวางใจเป็นอุเบกขาไม่ยินดี ยินร้ายได้มั่นคง นี้ชื่อว่า อภัยทาน จัดเป็นทานอันเยี่ยมยอดไปอีก

ธรรมทาน คืออะไร

ธรรม ทาน คือ การให้คำแนะนำสั่งสอนสิ่งที่ดี บอกศิลปวิทยาที่ดีที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต เป็นเหตุให้มีความสุข รวมถึงการอธิบายให้รู้และเข้าใจในเรื่องบุญบาป ให้ละสิ่งที่เป็นอกุศล ดำรงตนอยู่ในทางกุศล ซึ่งจะนำพาตนให้สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้

ประเภทของธรรมทาน

ธรรมทาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วิทยาทาน และ อภัยทาน

1. วิทยาทาน
วิทยาทาน คือ การให้ความรู้ ยังแบ่งออกได้อีกเป็นวิทยาทานทางโลก และวิทยาทานทางธรรม

วิทยาทานทางโลก คือ การสั่งสอนให้เกิดความรู้ความสามารถในเชิงศิลปวิทยาการ เพื่อนำไปประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงชีวิต และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความสะดวกสบายทุกอย ่าง ดังนั้นทางพระพุทธศาสนาได้จัดความรู้ว่าเป็นขุมทรัพย ์อย่างหนึ่ง ชื่อ องฺคสมนิธิ แปลว่า ขุมทรัพย์ติดตัวได้ บุคคลผู้มีความรู้ดี จึงเปรียบได้ว่ามีขุมทรัพย์ติดตัวไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เชื่อมั่นได้ ว่าจะสามารถใช้ปัญญารักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ แน่นอน

วิทยาทานทางธรรม (จัดเป็นธรรมทานแท้) คือ การให้ความรู้ที่เป็นธรรมะนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ประเสร ิฐ ด้วยเหตุที่ว่า การดำเนินชีวิตของแต่ละคนนั้น ถ้าขาดเสียซึ่งหลักธรรม ชีวิตก็จะพบแต่ความทุกข์ เดือดร้อน ผิดหวังตลอดไป ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังธรรม และนำมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม ย่อมเกิดความเจริญงอกงามในชีวิตของตน ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ในที่สุดก็ทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้งในพระธรรมคำสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้
การให้คำสอนที่ถูกต้องที่เป็นธรรมะนั้น เปรียบได้กับการให้ขุมทรัพย์ที่เป็นอมตะติดตัวไว้ หรือให้ประทีปแสงสว่างที่คอยติดตามไป ดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า การ ให้ธรรมทาน เปรียบเหมือนการให้ ขุมทรัพย์ หรือประทีปที่จะเป็นเครื่องส่องทางชีวิต ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องดีงาม นำชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ

และเมื่อยังต้องเวียนว่ายตาย เกิดอยู่ในวัฏสงสาร ย่อมเป็นผู้ไม่ตกต่ำ มีชีวิตที่ดีงาม ได้เกิดในสุคติภพ เมื่ออบรมบ่มบารมีแก่กล้าแล้ว ย่อมสละละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง เข้าถึงพระนิพพานได้ เพราะเหตุนี้ พระผู้มี-พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง

2. อภัยทาน
อภัยทาน คือ การให้ความปลอดภัย ให้ความไม่มีภัยแก่ตนและผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธเคืองในการ ล่วงเกินของผู้อื่น ไม่มีเวร ไม่ผูกเวรกับผู้ใด ทั้งยังมีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นเป็นนิตย์

การให้อภัย เป็นการให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เป็นการให้ที่ง่าย แต่ที่บางคนทำได้ยาก เพราะมีกิเลสอยู่ในใจ ต้องอาศัยการฟังธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรมบ่อยๆ จนเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง เห็นคุณ ประโยชน์ของการให้อภัย แล้วจะให้อภัยได้ง่ายขึ้น
หากมองเผินๆ จะดูเหมือนว่าการให้อภัยเป็นการให้ประโยชน์สุขแก่ผู้ อื่น ทำให้ผู้อื่นมีความสุขสบายใจ แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์สุขมากที่สุดก็คือตนเอง เพราะทุกครั้งที่ให้อภัยได้ จะรู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ สดชื่นแจ่มใส มีความสุข

นอก จากนี้ การช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายให้ปลอดภัย หรือพ้นจากอันตรายนั้นได้ เช่น การช่วยปล่อยสัตว์ที่เขาจะนำไปฆ่าให้พ้นจากการถูกฆ่า ดังประเพณีปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ก็นับว่าเป็นอภัย ทานเช่นกัน เพราะได้ให้ความไม่มีภัย ให้ความเป็นอิสระแก่สัตว์เหล่านั้น
การให้ความ ปลอดภัย ให้ความไม่มีเวรไม่มีภัยแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการไม่เบียดเบียน จัดเป็น การให้ที่สูงขึ้นไปอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า มหาทาน ซึ่งท่านจัดไว้ในเรื่องศีล

ส่วน การให้อภัย คือ ทำตนเป็นผู้ไม่มีภัยกับตนเอง ใครที่สามารถสละภัย คือโทสะออกจากใจได้ มีจิตใจสงบ สะอาด จิตจะประกอบไปด้วยเมตตา เมื่อทำไปแล้วถึงระดับหนึ่ง จัดว่าเป็นการภาวนา ที่ เรียกว่า เมตตาภาวนา ซึ่งมีอานิสงส์สูงยิ่ง

อานิสงส์ของธรรมทาน

ธรรมทานนี้มีอานิสงส์มาก ดังที่มีการพรรณนาคุณไว้ในอรรถกถาธรรมบท 1 ว่า
แม้ ทายกจะถวายจีวรอย่างดีที่สุดแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ที่นั่งติดๆ กันเต็มห้องจักรวาลนี้ ก็ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการอนุโมทนาของพระพุทธเจ้า ด้วยพระคาถาเพียง 4 บาท และจีวรทานนั้นมีค่าไม่ถึงเศษส่วน 16 แห่งพระคาถาที่พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา

แม้ทายกจะถวายโภชนะ ข้าวสาลี กอปรด้วยสูปะพยัญชนะ (แกงและกับข้าว) อันประณีต เป็นต้น ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้าก็ดี จะถวายเภสัชทาน มี เนยใส เนยเหลว น้ำผึ้ง เป็นต้น ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้า ที่นั่งติดๆ เต็มห้องจักรวาลก็ดี ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทานที่พระพุทธเจ้าอนุโมทนา ด้วยพระคาถาเพียง 4 บาท

จัก ไม่กล่าวคำที่กระทบตนและผู้อื่น คือไม่แสดงธรรมโดยยกความดีของตัวเองเพื่อโอ้อวด หรือ ยกความผิดพลาดหรือจุดด้อยของคนอื่นขึ้นมาเป็นเหตุเพื ่อประจานความผิด หรือกล่าวล้อเลียนเขา ต้อง กล่าวมุ่งอธิบายธรรมะจริงๆ และหากต้องยกตัวอย่างประกอบในการอธิบายเพื่อความเข้า ใจในธรรมนั้น ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ผู้อื่นเสียหายได้

ผู้ ที่จะให้ธรรมทาน พึงตั้งอยู่ในองค์คุณดังกล่าวมานี้ จะยังประโยชน์ใหญ่ อานิสงส์ยิ่งใหญ่ให้เกิด ขึ้นกับผู้แสดงธรรมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้แสดงธรรมได้บุญกุศลมหาศาล ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส สรรเสริญว่า บุคคลให้ธรรมเป็นทาน โดยไม่ปรารถนาลาภสักการะ ย่อมมีอานิสงส์ประมาณมิได้


อนุโมทนาขอบคุณกลุ่มธรรมะสวัสดี DhammaSawasdee-subscribe@googlegroups.com