ยังมีคุณค่าหลังธนบัตร

  แต่ละวันเราใช้"ธนบัตร"ราคาไหนบ้าง!!!
 แน่นอน เรารู้ว่า"ธนบัตร"มีค่า แต่รู้ไหมว่านอกจาก"ค่า"คือราคาของตัวเองแล้ว "ธนบัตร"ยังมี"คุณค่า" เพราะ"หลังธนบัตร"มีสิ่งดีๆ ที่สอนเราอยู่

ธนบัตร ๒o บาท …คุณรู้ไหมว่าเป็นภาพของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหนคำตอบก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล และ"คุณค่า"หลังธนบัตรนี้มีข้อความว่า

"ถ้าคนไทยทุกคน ถือว่าตนเองเป็นเจ้าของชาติบ้านเมือง และต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ด้วยความสุจริตและถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมแล้ว ความทุกข์ยากของบ้านเมืองก็จะผ่านพ้นไปได้"

 

มาถึงแบงก์ร้อยsส่วนใหญ่คงจำกันแม่นว่า"หลังธนบัตร"สีแดงใบละร้อย เป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราช แต่คุณเคยรู้"คุณค่า"หลังธนบัตรนี้ไหม ..

"ประเพณีทาสที่มีอยู่ในพระราชอาณาจักรสยาม ถึงเป็นวิธีทาสทำสารกรมธรรม์ ขายตัวด้วยใจสมัคร มิใช่ทาสเชลย ที่เป็นการกดขี่อย่างร้ายแรงก็จริง

แต่เป็นเครื่องกีดขวางทางเจริญ ประโยชน์และสุขสำราญ ของมหาชนอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นจะต้องเลิกถอน อย่าให้มีประเพณีทาสในพระราชอาณาจักรนี้

กรุงสยามจึงจะมีความสมบูรณ์เท่าทันประเทศอื่น

   แบงก์ ๕oo ล่ะ ใช้ธนบัตรสีม่วง รู้ไหมเป็นภาพพระองค์ไหน แน่นอนว่าหลายคนคงนึกไม่ออก ..เพราะเป็น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้ให้เราทราบคือ..

"การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเสียทีเดียว"

 

แบงก์ใหญ่ที่สุด ธนบัตรใบละ ๑ooo บาท หลายคนทราบดีว่าเป็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เคย"อ่านสิ่งที่มี "คุณค่า"หลังธนบัตรไหม?

เศรษฐกิจแบบพอเพียง … เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง

 

ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่านมีความสุข ความเจริญ

                    ธรรมรักษา 

 

 

 

รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต)

   ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ผมกับลูกชายวัยสิบขวบไปทำบุญและเที่ยวพักผ่อนกัน ที่จังหวัดทาง ภาคเหนือ หลังจาก พยายามหาโอกาส เรื่องเวลาที่พร้อมๆกัน ระหว่างภรรยาและลูกสาววัยรุ่นอีก ๒ คน ที่จบมหาวิทยาลัย และเพิ่ง เริ่มทำงานบริษัท เรา ๕ คนเคยอิสระ พอมีวันหยุดพร้อมกัน เราจะออกต่างจังหวัด หาวัดที่สงบ ไปทำบุญปฏิบัติ และฟังธรรมกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระที่ฉันมังสวิรัติ

แต่โอกาสเก่าๆแบบนี้เริ่มหายาก แต่ละคนในบ้านเริ่มมีภาระของตนเรื่องงานที่ทำ เวลาหยุดไม่ตรงกัน หรือเวลาหยุดไปพร้อมกับคนทั้งประเทศ จราจรถนนหนทางรถราแน่น ทำให้เกิดการแย่งกันไปแย่งกันกลับ อุบัติเหตุก ็เกิดขึ้นมาก และมีความรู้สึกเหมือนไปแย่งคนที่จำเป็นต้องเดินทาง เพื่อกลับบ้าน ไปหาครอบครัว จริงๆ เราจึงพยายามเลี่ยงเดินทางช่วงเวลานั้น

     มาต้นปีคิดว่า คงจะหาเวลาที่ได้ไปพร้อมๆกันยาก ภรรยาติดธุระบ้าง ลูกสาวบ้าง มีแต่ผม ที่อิสระ เพราะไม่ใช่ มนุษย์เงินเดือน จึงรีบหาโอกาสเวลานี้ทำภารกิจที่คิดว่า ควรจะทำ ไม่ประมาท คนเรา จะเดินทาง ท่องเที่ยว ต้องมีปัจจัยสำคัญพร้อมๆกัน ๓ อย่างคือ สุขภาพดีแข็งแรง มีเงินพอใช้จ่าย และต้อง มีเวลาด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงลำบาก จึงชวนลูกชายซึ่งว่างพอดี เราเอารถเก่าๆ เตรียมข้าวของ ไปทำบุญด้วยกัน

ออกจากกรุงเทพฯแต่เช้ามืด ขับรถไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยเรื่องธรรมะต่างๆ ดูธรรมชาติสองข้างทาง ใช้เวลา เกือบทั้งวัน ถึงสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่บนดอยเล็กๆมีพระชราอายุราว ๙๐ เศษรูปหนึ่ง ฉันอาหาร มังสวิรัติ และ ฉันวันละมื้อเท่านั้น เรามาถึงเกือบเย็น ก็ขับรถขึ้นดอยอย่างช้าๆ ไม่ให้เสียงรถ ไปรบกวนพระ หรือผู้ที่กำลัง ปฏิบัติธรรม

     ทางขึ้นดอยเป็นทางเล็กๆ ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น กุฏิ โบสถ์ เจดีย์เป็นแบบเรียบง่าย สะอาด ดูสบายตา น่าเลื่อมใส ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมโหฬารหรูหราเกินไป เราจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ และลงรถ เดินเข้าไป ในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปพระประธาน และกราบหลวงปู่ ที่กำลังนั่ง อยู่เยื้องๆพระประธาน ท่านมีรูปร่าง สันทัด ห่มจีวรสีกรัก สวมแว่นตาหนา ผิวพรรณผ่องใสน่าเลื่อมใส แม้อายุใกล้ร้อย กราบท่านเสร็จ ผมและลูกชายขออนุญาตท่านพักและอยู่ เพื่อถวายอาหารมังสวิรัติกับปฏิบัติฟังธรรม กวาดบริเวณ รอบๆวัดและสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ค่ำกับท่าน หลวงปู่ท่าทางใจดี กล่าวอนุญาต ด้วยสำเนียง ภาคกลาง ปนสำเนียงภาคเหนือ

เราได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่พักใหญ่ ลูกชายผมบังเอิญสังเกตเห็น แขนซ้ายหลวงปู่ มีบาดแผล รอยเย็บ นับร้อยเข็ม จึงเข้ากราบขอขมาขออนุญาตถามถึงแผลนั้น

     ท่านยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า มนุษย์เวลาร้าย สัตว์ทั้งโลกก็สู้มนุษย์ไม่ได้ สัตว์ที่ว่าดุว่าร้าย มันทำร้ายคน หรือสัตว์อื่น ก็ไม่เกินสิบเกินร้อย แต่มนุษย์มีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถจับมาใช้งาน จับมาฆ่า แม้มนุษย์ด้วยกันเอง เวลาทะเลาะหรือขัดผลประโยชน์กัน ก็คิดสร้างอาวุธร้ายแรง ประหัตประหาร ได้ทีละเป็นแสน เป็นล้าน ทำลายมนุษย์ด้วยกันเองยังไม่พอ ยังไปทำลายสัตว์ ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่ไม่ได้ไปรู้ด้วยเลย เรายังเรียกโลกใบนี้ว่า โลกมนุษย์ ที่จริงมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ

      ท่านหยุดจิบน้ำแล้วเล่าต่อ ท่านเป็นคนภาคกลาง สมัยหนุ่มเคยเป็นพรานป่า ล่าสัตว์ป่า จับจระเข้ขาย รู้ธรรมชาติ เกี่ยวกับจระเข้เป็นอย่างดี ชอบอิสระท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบผูกมัด ผูกพันกับใคร แม้กับเพศ ตรงข้าม เที่ยวหาจับจระเข้ป่าขายตามฟาร์มจระเข้ต่างๆ เพื่อนำไปฆ่าขายเนื้อขายหนัง หรือหาไข่ จระเข้ ไปขาย เพื่อไปฟักเพาะเป็นลูกจระเข้ขาย ทำมาหลายปี ก็ยังดีเงินส่วนหนึ่งยังไปทำบุญบ้าง จิตหนึ่ง ก็ยังใฝ่ ในบุญกุศลอยู่ แม้อาชีพมันจะเป็นบาป

   จนล่วงเข้าวัยกลางคน ได้ถูกขอร้องจากเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง ขอร้องให้ไปช่วยดูแลฟาร์ม ท่านก็รู้สึก กำลังเริ่มถดถอย ก็บอกขอลองทำดูก่อน ยังไม่รับปากจะทำให้ ตลอดเหตุการณ์ก็ปกติ จนวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์ม จระเข้ไปซื้อเหมาบ่อจระเข้แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของอีกแห่งไม่มีประสบการณ์ เห็นรายได้ดีก็ทำบ้าง พอขาดทุน เลยขาย เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ท่านอยู่ก็ให้ท่านพร้อมลูกน้องช่วยไปจับจระเข้ในบ่อที่มีร่วม ๒๐-๓๐ ตัว ก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมลูกน้องไปจับขึ้นมาจากบ่อเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียว ตัวมันใหญ่ ยาวมาก คงเป็นแม่พันธุ์ ตาบอดข้างเดียว

     ท่านพยายามเอาปลาทะเลสดโยนไปล่อให้มันขึ้นมาใกล้ขอบดินของบ่อ เพื่อจะได้จับมัน แต่มันก็ลอยตัว นิ่งๆ ไม่สนใจ กับปลาที่โยนให้ ท่านตะโกนให้ลูกน้องเอาซี่โครงไก่ของโปรดมันมาเข่งใหญ่ และเริ่มโยนลงไป ๒-๓ ครั้ง แต่ดูมันไม่สนใจ ลองโยนลงที่บนดินขอบบ่อ เพราะจระเข้บางตัวไม่ชอบกินเหยื่อในน้ำ แต่จะกิน บนดิน ขอบบ่อ มันดูเมินเฉยกับซี่โครงไก่นับสิบชิ้นที่โยนลงน้ำและที่บนดินขอบบ่อ

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ท่านกลัวว่าน้ำในบ่อจะเสีย ก็ให้คนงานเอาสวิงด้ามยาวๆช้อนซี่โครงไก่ออก ส่วนที่อยู่บนดินขอบบ่อท่านลงไปเก็บเอง พลางคิดว่ามันคงไม่สบาย จึงไม่มีแรงและไม่อยากกินอาหาร เดี๋ยวค่อยหา วิธีอื่น ก็เดินเก็บซี่โครงไก่ทางนี้ทีทางโน้นที เดินลาดลงใกล้น้ำทุกทีด้วยความประมาท รวมกับ การที่คิดว่า รู้นิสัยจระเข้ดี เก็บจนเกือบถึงขอบน้ำ

    ทันใดนั้น ไม่มีใครคาดคิด… จระเข้ตัวใหญ่ลอยคอเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกต เข้ามาถึงขอบดิน ที่ท่านก้ม เก็บซี่โครงไก่อยู่ วิบากกรรมก็ตามทัน มันกระโจนทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากตะครุบ งับแขนซ้าย กระชากและดึงตัวท่านลงใต้น้ำทันที
ขณะนั้นท่านยังมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าจระเข้จะดึงเอาเหยื่อที่ใหญ่กบดานใต้น้ำ เพื่อให้เหยื่อขาดอากาศหายใจ และตาย แล้วจึงสะบัดเหยื่อไปมา พร้อมกระชากเหยื่อให้ขาดเพื่อกลืนกิน ถ้าเหยื่อ ไม่โตนัก งับพอกลืนได้ มันก็จะกลืนทันที ท่านได้แต่นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาบ้าง และพยายาม รวบรวมสติ รอเวลาที่จระเข้ มันจะสะบัด แขนท่านให้ขาดแล้วค่อยกลืน ก่อนที่มันจะเปลี่ยน มางับส่วนอื่น จะได้รีบว่ายน้ำหนี คิดว่า ถึงคราวตาย ก็ต้องตาย

ขณะนั้นท่านรู้สึกว่า จระเข้มันปล่อยแขนที่งับไว้ คิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนมางับส่วน ร่างกายที่ใหญ่กว่า และ งับได้ถนัดกว่า เลยถือโอกาสนั้น รีบทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ และว่ายเข้าฝั่ง เหลือบเห็นน้ำรอบๆ เต็มไปด้วย เลือดสีแดงฉานไปทั่ว เห็นภาพรางๆบนฝั่ง เจ้าของฟาร์มเล็งปืนยาวมาที่ตรงใกล้ๆท่าน คล้ายกับว่า จะยิง จระเข้ สติสัมปชัญญะที่ใกล้หมดท่านโบกมือห้าม เห็นคนอื่นๆ ถือมีดปืนผาหน้าไม้ เต็มไปหมด ผู้คนอื้ออึง แล้วความรู้สึกต่างๆ ก็วูบสนิท ท่านถูกส่งโรงพยาบาล เกือบสิบกว่าวันที่ท่าน ไม่รู้สึกตัวและมารู้สึกตัวภายหลัง

     มีคนมาเล่าให้ฟัง ลูกน้องหลายคนช่วยกันเอาไม้ตีกระทุ่มน้ำไล่มัน แล้วมีคนอื่นๆมาช่วยประคองท่าน ขึ้นจากน้ำ แล้วส่งโรงพยาบาล ท่านถามถึงจระเข้ตัวนั้น ขอร้องอย่าไปทำร้าย หรือฆ่ามันเลย เพราะท่าน ประมาทเอง มานึกได้ทีหลังว่า จระเข้บางตัว มันไม่ชอบ กินเหยื่อตาย อาจถูกฝึก หรือเคยชิน กับการกิน เหยื่อเป็น หรือที่เคลื่อนไหวได้ แต่ทุกคนบอกว่า เจ้าของฟาร์มได้ยิงมัน และจับมันขึ้นมาแล่ ฆ่าเดี๋ยวนั้นเลย ท่านบอก รู้สึกสลดใจมาก ที่เป็นสาเหตุให้จระเข้ตัวนั้นถูกฆ่าอย่างทารุณ

      ระหว่างรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม ๔ เดือน ท่านมาทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาชีพ หนึ่งที่เป็น มิจฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า ท่านได้อ่านหนังสือธรรมะ ฟังวิทยุ รายการธรรมะ จากเตียง คนไข้ข้างๆ เกิดคิดอยากบวช แผ่ส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ ที่เคยก่อเวร สร้างกรรมกันมา ท่านได้อ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นคำกล่าวของหิโตปเทศ กล่าวไว้กินใจมากว่า "เมื่อผู้จะกินเนื้อเขา ควรตระหนัก ให้ได้ว่า เราและผู้ที่เรากินนั้นผิดกัน ผู้กินจะได้ความอิ่มเอมก็ชั่วขณะ และ ผู้ที่ต้อง เสียเนื้อไปได้รับทุกข์ถึงชีวิต"

คำคมที่กินใจ จำผู้แต่งไม่ได้ กล่าวไว้ว่า "สิ่งเดียวที่มนุษย์รักที่สุดคือ ชีวิต แต่จะเกลียด ที่สุดคือ ผู้เอาชีวิต ของตนไป แล้วไฉนจึงมาคิดทำลายล้างชีวิตให้สิ้นไปเสียเช่นนี้เล่า"

"ฆ่าสัตว์ได้โทษ ฆ่าความโกรธได้บุญ"

"ชีวิตนี้คือทางผ่านเท่านั้นเอง แต่ชีวิตที่แท้จริง ได้รอเราอยู่เบื้องหลังความตายนี้แล้ว"

นี่คือสิ่งดลบันดาลใจให้ท่านคิดไม่เบียดเบียน หรือมีส่วนส่งเสริมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกต่อไป หลังจาก ออกจาก โรงพยาบาล ท่านได้สละเพศฆราวาส บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา และ ฉันมังสวิรัติ ฉันวันละมื้อ

ลูกชายผมกราบ พูดเสริมต่อหลวงปู่ว่า "ผมก็รับประทานอาหารมังสวิรัติตามพ่อ ได้เคย ฟังเท็ปของ อาจารย์ พันธุ์เลิศ บูรณศิลปิน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของพ่อ สอนอยู่แม่โจ้ เป็นอดีตรัฐมนตรีเกษตร เจ้าของ สวนส้ม วังน้ำค้าง ก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เคยพูดว่า "เราไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ตาย ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์ตาย และ สัตว์จะตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า จนกว่าเราตาย มันก็ต้องตายอีกมากมาย เพื่อมาฉลอง งานศพเรา"

   ลูกชายผมกราบเรียนถามท่านเรื่องการกินเจเห็นพระบางรูปพูดว่า กินเจไม่ได้บุญหรอก หลวงปู่ยิ้ม อย่างอารมณ์ดี และพูดว่า ก็แล้วแต่ใจของแต่ละคน เรากินเองเราก็ควรรู้เองว่า จิตใจเรา รู้สึกอย่างไร ถึงพูดว่า ไม่ได้บุญแต่ก็คงไม่ไปสร้างหรือส่งเสริมบาปยิ่งการฆ่าเพื่อเอามากินบาปอยู่ที่คนทำ กรรมก็อยู่ ที่คนกิน ปาณาติบาตฯเป็นศีลที่พระบรมศาสดาของเราทรงบัญญัติเป็นข้อแรก เวลาเรา ถูกมีดบาด เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่สัตว์ที่ถูกจับมาฆ่า เจ็บถึงตาย หากหยุดได้ หยุดเถอะ หยุดเบียดเบียน หรือส่งเสริม การฆ่าสัตว์ เพื่อเอาเนื้อมาขายกัน

   เวลาเรามีคนรัก ใครพรากเอาคนที่เรารักไป เราเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน ถ้านับกองกระดูก ที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตนของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องขอชีวิต เสียงแห่ง ความทุกข์ยาก เราต้องหยุด หยุดความอยากของกายใจปากเราก่อน ชีวิตเขาอย่าไปทำลาย อย่าไปกิน เลือดกินเนื้อเขา เป็นหนี้กรรมชดใช้กันไปชดใช้กันมา ตราบใดเรายังไม่หลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อย่ามีการจองเวรจองกรรมอีกเลย ชาตินี้ไปฆ่ากินเนื้อเขา ชาติหน้าเขาก็มาทวงคืน ความเมตตา อย่าคิดแค่สงสาร เมตตาต้องออกมาจากใจ จากกาย จากวาจา ไม่ใช่แค่การสวดมนต์ แผ่เมตตา ปล่อยสัตว์ แต่ก็ยังกินมัน

     ดินให้กำเนิดชีวิต ให้กำเนิดพืชผักธัญญาหารผลไม้นานาชนิดมากมาย เสมือนฟ้าดินให้กำเนิด เรากิน บริโภคพืช เพาะปลูกส่งเสริมแพร่พันธุ์ต่อไปได้ แต่เนื้อสัตว์มันมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิดของมัน ไม่มีพ่อแม่ ที่ไหนหรอก ที่ให้กำเนิดลูกแล้วให้คนอื่นฆ่ากิน มันไม่ยินดีหรอก แต่มันพูดไม่ได้ เวลาคนฆ่ามัน ก็มัวแต่ จะเอาเลือด เอาเนื้อมัน คิดแต่ว่าจะมาทำอะไรกิน ไม่ได้ไปสังเกตดวงตาที่ร่ำไห้ น้ำตาที่ไหลพราก ประหนึ่ง ขอชีวิต หูไม่ได้ยินเสียง หรือได้ยินแต่เคยชินเสียงที่มันร้องโหยหวนขอมีชีวิต เพื่ออยู่กับ ครอบครัว พ่อแม่ หรือ ลูกเมียหรือพี่น้องมัน คิดซิ! เราตัวคนเดียว กินทำไมหลายชีวิตนัก ทั้งที่กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย

ท้ายสุดก่อนค่ำ จะสวดมนต์ทำวัตรค่ำ ท่านให้โอวาทเราว่า "การทำความดีนั้นทำไม่ยากเลย ที่ยากเพราะ ไม่คิด จะทำมากกว่า"

 และเมตตาสอนอีกว่า "อย่าประมาท ให้รีบทำความดี จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากินมังสวิรัติเรารู้เอง ใครจะพูด อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แผ่เมตตาให้เขา ใครทำกรรมใดไว้ ไม่มีใครหนีพ้น เราคงได้แต่หวังดี และ ปฏิบัติ ตัวของเราเอง เป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นคำ" คืนนั้นเราอยู่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ ด้วยจิตใจ ที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยปีติสุข

อนุโมทนาขอบคุณท่าน- ล.พุทธิธาร – ที่แบ่งปัน

ชนิดอาหารก่อมะเร็ง – แกงเลียง ‘ ‘ แกงเหลือง ‘ต้านโรคได้

 

 

งานนี้สรุปจากงานวิจัย 7,000 ชิ้น   ซึ่ง Research บางเรื่องนานกว่า 10 ปี  

และใช้เวลาสรุปอีก 5 ปี   จาก 100,000 ตัวอย่าง…ใช้เงินมหาศาลในการวิจัย.

 

ถ้าโครชอบกิน แกงเหลือง แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม  

ขอแสดงความยินดีด้วยคับ…คุณมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก…

 

นักวิชาการโลกฟันธงแล้ว ชนิดอาหารก่อมะเร็ง

บริโภค แกงเลียง ‘ ‘ แกงเหลือง ต้านโรคได้

   

       โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลกเป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน ( World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

 

     ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3ระดับ

 

ข้อสรุปลำดับแรก

     เป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อนมีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ป ีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม หลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก  

     สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกิน จะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมท ั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

     ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาว ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที จนเข้ าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย

 ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2

เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจน หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหาร พบว่า การบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

 

ลำดับที่ 3

    ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

     นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

     ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทย ซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

 ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย

 ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่

น้ำพริกแกงป่า

– แกงเลียง

– แกงส้ม

– แกงเหลือง และ

– น้ำต้มยำ

นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า เมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทีย มและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ

 จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภค อาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง

 สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่.

ขอบคุณข้อมูลจากัลยาณมิตร

 

……………………………………………………………………..