@_@..กล่องของแม่..@_@

“เพื่อชีวิตจิตสำนึกที่ดีงาม”

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย ‘หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน’ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้น จากมือแม่ แต่ไม่สำเร็จแม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวังส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง วันสุดท้ายแล้ว ที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉันเมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมากสุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่นแน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้องทฤษฎีของการแยกประเภท แยกโลกออกจากกันให้ชัดเจนเพื่อลดความชัดแย้ง ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้ ‘ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ’ แม่ตอบง่ายๆ หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสองนานใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงแหน’จะอยู่จะกินยังไรต่อไป”แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว’ ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้างนับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ปกติเพื่อรอวัน ‘ย้ายบ้าน’
แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกันและไม่ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นที่เคยเป็นมา พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุกถล่มฉันอยู่หลายวัน’แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักใสแกไปอย่างนี้’ นี่พี่สาวคนโต’คนแก่ก็อย่างงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันหนักหนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกันแถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า’ นี่ก็พี่เขยจอมตืด ‘แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกัน ว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ”แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งสิ ลูกผัวก็ไม่มี แม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้’ เออ….เอาเข้าไป พวกดีแต่พูด พูดกันดีนักแต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน นอกจากฉันก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ ก็เพราะแม่นั่นแหละวันๆ เวลาที่เหลือจากการทำงาน ต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมดแล้วจะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแลแม่ให้ พวกปากดีที่ว่า ที่ตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละวันหยุดยาวทีไร ต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง’โอ๊ย ไม่ได้หรอก ฉันจองโรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไปคราวหน้าแล้วกัน เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก’อ้วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้นขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบและของบ้าๆ บอๆ อีกเป็นพะเรอ แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กินเดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ ! แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อนไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำไม่มีงานวันเกิดเพื่อน หรืองานสนุกอะไรทั้งนั้นสรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟนล่ะ เลยกลายเป็นลูกเหลือขอ อยู่คนเดียวในบ้านนี้แหละลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมาขอ ไปหมดแล้วยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉันใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น ‘ลูกเหลือขอ’ ได้ดีเท่าฉันใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่า พี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อมและใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่นๆ เพียงแต่ แม่พวกนั้นมันเกิดก่อนเลยได้มีโอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้วฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่บ่น และคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละวันและวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่างๆ ก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้งแม่จำเพาะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้าเอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้งหรือมีนัดทุกทีซิน่า’แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน’ แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย’วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้’หรือไม่ก็ ‘วันนี้วันพระใหญ่ปีหนึ่งมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ไง’โอ๊ย จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำ คือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยาส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษ ก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกันไปคือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย วันดีคืนดีก็หกล้มหกลุกให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงานหรือมีอันต้องมีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุดจนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูดนายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่นายดีและเข้าใจ)ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆ หรอก จนกว่าแม่จะตายแล้วเมื่อไรละแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ ใครจะรู้ แม่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลังพอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติดเป็นแพเต็มถนน ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งแต่เช้าก็สำแดงอาการทันทีกลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด’แม่หนาวมั้ย จะได้หรี่แอร์’ แต่แม่สั่นหน้า ตั้งแต่ออกจากบ้าน แม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย’แม่เอาของมาน้อยจัง’ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูด ไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้ากับประโยคนี้ของฉัน แม่เริ่มพูดขึ้นมาได้’ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไม มันไม่จำเป็น เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอ เอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี’ ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตามแม่ก็อย่างงี้แหละ กลัวของหาย กลัวคนมาขโมยของของตัว บางทีโวยวายแทบตายปรากฏว่า ของที่ว่าหายนั้น อยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ รถบนถนนขยับได้ทีละนิด สลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ตามกาลเวลากล่องแบบนี้ เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้วและผงซักฟอกยี่ห้อนั้น ก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้วยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่อง ยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียวลังผงซักฟอกของแม่ จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดีเพราะพอวางบนตักแล้ว ขนาดพอดีกับตักแม่เลยมีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่งรวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่นที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือมันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอก เวลาจะกลับบ้านวันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่ไม่ไม่เอา’ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมด เอาไว้ในกล่องนะดีแล้ว’
ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายหนแต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักที ว่ามีอะไรในนั้นพวกเรามักเรียกว่า ‘กล่องของแม่’ ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กันว่า ห้ามย้าย ห้ามรื้อ กล่องของแม่เป็นอันขาด ไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว ฉันเลยถามขึ้นว่า ‘มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ’แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียว เวลาพูดถึงกล่องของแม่รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือแล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู’มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บนๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก’ แม่หยิบอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง’นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียวหน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ พอโตแล้วซนเป็นบ้ายายมันเลี้ยงซะเสียคน’ นี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่ คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้และครอบครัวแม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้าๆพวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่ารูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่รูปที่พวกลูกๆ หลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแม่ยังเก็บไว้ยังกะของมีค่า แล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่งกระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจายเมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ’อุ๊ย อะไรน่ะ’ฉันรับปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้น จะร่วงปลิวไปตามแรงลม ‘วันเกิดพวกแกกับพวกหลานๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละไม่งั้นเวลาไหว้พระ จำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่ นี่ แผ่นวันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน)ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดีแต่ยายนะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือบอกว่า เอ้า วันเกิดลูกเก็บไว้ซะตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกทีฉันมันคนไม่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวกแกหรอกมีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดของแม่ได้ซักคนวันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี’ น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจอาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้ปฏิทินที่แม่ว่านั้น เป็นกระดาษสีนวลบางๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้างตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตออกมา ‘ลูกแปดคน ก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน”อ้าว ทำไมละ’ เออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน’ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยากไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวร พ่อแกเขาหาว่าบ้าเฮ้อจริงไม่จริง คนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนแหละ ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือนใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว ผู้ชายจะมารู้อะไรเขาไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่’
พูดถึงพ่อแล้ว แม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า’พอออกจากโรงพยาบาล อยู่เดือนยังไม่ครบดีฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลยย่าแกด่าซะไม่มีดี เขาห่วง กลัวเราไม่สบายไอ้ตอนนั้น เราก็ไม่รู้ เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซี ก็พูดเหมือนกันว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อไอ้ฉันนะเสี่ยงเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยกลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาดเวลาไปไหนๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ ให้แกไปดีมาดีกว่าจะโตมาได้ เฮ้อ ‘
แม่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง กว่าจะพูดจบได้ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้วมันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้’แกเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแกฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้ว มีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงแต่แกน่ะแหละอีกไม่กีปี จะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ดีอย่าลืมไปทำบุญไหว้พระ จะได้อายุมั่น ขวัญยืนถ้าฉันยังอยู่กะแก ก็จะได้ไปจัดการให้ แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้วค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย’ แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆเรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม’ไอ้กล่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่มีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆหลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยละแถมแม่นไม่มีอะไรเท่า พวกแกอีกหลงๆ ลืมๆ ‘ ฉันไม่เคยรู้เลยว่า กล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อจนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า ‘สมองคอมพิวเตอร์’ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที ฉันคงนั่งนิ่งไปนาน ถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า’แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวกพี่ๆเขาเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน แต่คนเดี่ยวนี้มันก็ภาระแยะไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีกแม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เขาอะไรๆ ฉันก็รู้ แต่ทำไงได้ละ คนมันยังไม่ถึงคราวตายมันก็ต้องอยู่ไปอย่างนี้แหละ ใช่ว่าอยากตาย ก็จะได้ตายซะที่ไหนแก่แล้วลำบาก ไปไหนต้องอาศัยคนอื่นทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคนนี้มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเขาไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายเป็นภาระความจริง ไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกันบางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่ แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที’ เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่คลายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้าข้างนอก ฝนเริ่มบางตาแสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง ‘แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่าไอ้ที่ฉันจะไปอยู่ มันคงดี เพราะราคามันแพงจะมีคนแก่ซักกี่คน ที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆ อย่างนั้นห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ ก็อย่าเลือกมากมายรีบแต่งงาน รีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบากดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีเวลามาดูแล ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่มีลูก จะยิ่งลำบากมากกว่านี้’ ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่งฉันบอกแม่ว่า ‘อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ”อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมีเรื่องต้องทำ ก็มีแยะไปหมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกันแต่ถึงพวกแกไม่มา ฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอกชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้วอยากเห็นหน้าลูก ก็ดูลูกเอาในนี้ อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มา ก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที’ แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้นรถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกับฝนที่ขาดเม็ดอีกไม่กี่เมตร จะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถแม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ คงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง ‘กล่องของแม่’………รักแม่ ดูแลและตอบแทนแม่ของคุณให้มากๆในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่แหละทำซะก่อนที่จะรู้สึกเสียใจในชีวิตนี้คุณมีแม่เพียงคนเดียวนะคนอื่นคุณหาได้ มีได้อีกเยอะ จริงมั้ย